Tag: บิทคอยน์ คือ pantip

ซื้อเหรียญดิจิตอลตัวไหนดี ในปี 2018 มือใหม่ห้ามพลาด!

การเลือกซื้อเหรียญดิจิตอลตัวแรกนั้นมักเป็นปัญหาใหญ่ของนักลงทุนหน้าใหม่ทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มเข้าตลาด Crytpto ในช่วงแรก แถมอายุยังน้อย ด้อยประสบการณ์ มีเงินเพียงหลักพัน หลักหมื่นถึงหลักแสนต้นๆ พวกเราจะทำอย่างไรดีน้าา?  ยิ่งตอนนี้ในตลาด Cryptocurrency นั้นมีเหรียญมากกว่า 1398 เหรียญแล้ว (ข้อมูลจาก Coinmarketcap.com) เยอะจนทำเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว!

ในตอนนี้การเลือกซื้อเหรียญ แล้วหวังว่าจะซื้ออะไรก็ได้ แล้วรอให้มูลค่ามันขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด 5 เท่า 10 เท่า เหมือนเช่นก่อน ก๋็เริ่มเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการเลือกซื้อเหรียญในสภาวะตลาดในปัจจุบัน หากเลือกผิด เลือกตามกระแส เลือกเหรียญที่เกิดการปั่นราคาเหรียญ (Pump&Dump)  อาจทำให้เราสูญเงินลงทุนจำนวนมากได้  แล้วมือใหม่อย่างเราจะเลือกลงทุนเหรียญไหนดีหล่ะ?

บทความต่อไปนี้ Goalbitcoin จึงอยากมาแนะนำ แนวคิดที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อมือใหม่ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนซื้อเหรียญตัวแรกกัน!

เอาล่ะ! เมื่อพร้อมแล้ว

เราอยากให้คุณเข้าใจถึงภาพรวมของตลาด Crypto กันก่อน มาดูกันว่ามูลค่าในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง?

มูลค่าทรัพย์สินของตลาด Cryptocurrency ปัจจุบัน ณ วันที่ 11 ม.ค. 2561 คือ $ 612,668,000,000 (อ้างอิงจากCoinmarketcap.com)

หากพิจารณาจากกราฟ จะเห็นว่าภาพรวมของกราฟกำลังเป็นเทรนด์ขาขึ้น (Uptrend) โดยมีการย่อตัวลงในปัจจุบัน เพื่อรอรับนักลงทุนรายใหม่เข้าไปสู่ตลาดให้มากขึ้น ด้วยมูลค่าตลาดที่ใหญ่ขนาดนี้ ทำให้นักลงทุน นักเทรดหลายคนสามารถเข้ามาเทรดทำกำไรได้ และหากทำความเข้าใจในกลไกของราคาตลาด Crypto แล้ว  เชื่อว่า หลายคนสามารถเห็นโอกาสในการทำกำไรในตลาดนี้ได้

หลังจากเราเห็นภาพรวมของตลาดแล้ว ส่วนต่อไปคือ

 

ทำความเข้าใจว่า ความผันผวนในตลาด Cryptocurrency ยังมีความเสี่ยงสูงอยู่

เราอาจจะรู้สึกอิจฉาบางคนที่ลงทุนกับเหรียญ Bitcoin, Altcoin ในระยะแรกจนได้รับรางวัลมหาศาลตอนนี้ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าพวกเขาก็ต้องขึ้นโรลเลอร์โคสเตอร์แห่งความผันผวนของราคาอันมหาโหดนานถึง 7 ปีเหมือนกัน

เราจะเห็นความผันผวนด้านราคาเกิดขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง ในช่วงก่อน Bitcoin Hard Fork ขณะที่เหรียญพื้นฐานดีๆ ที่เราถืออยู่อาจขาดทุนหรือกำไรลดตอนนั้น 10-50 % หรือขาดทุนมากกว่า แต่นักลงทุนหลายคนก็ยังมั่นใจว่าในอนาคต มันจะเติบโตได้อีกหลายเท่าตัว จึงช้อนซื้อ แต่ในทางกลับกันเม่าน้อย ก็ทยอยขายเหรียญทำให้ขายทุนเป็นจำนวนมาก เพราะส่วนใหญ่อาจจะถือเหรียญที่ไร้พื้นฐาน เหรียญปั่น ติดดอยไปแล้ว อาจไม่มีวันกลับไปที่เดิมได้อีกเลย

ดังนั้นควรพิจารณาให้ดี หากเราเลือกเหรียญถูกตัว มูลค่าของเหรียญนั้นมีโอกาสที่จะโตเป็นสิบเท่าหรือมากกว่าเลยทีเดียว



หลังจากเข้าใจภาพรวมของตลาดและความผันผวนที่อยู่คู่ Crypto กันแล้ว เรามาดูวิธีการเลือกเหรียญดิจิตอล ว่าดูจากอะไรกันบ้าง? 

 

1.ไอเดียน่าสนใจหรือไม่ และเข้ามาแก้ปัญหาอะไร?

ลองดูว่าโปรเจคมีความแปลกใหม่อะไร? ทำไมถึงต้องใช้ระบบ BlockChain? มีโปรเจคมากมายที่ไม่ได้แก้ปัญหาจริงๆ  บางโปรเจคอาศัยคำว่า Blockchain แค่จะดึงดูดนักลงทุน ในความเป็นจริงแล้ว Blockchain อาจจะไม่เหมาะสมในการใช้งานแบบนี้ก็เป็นได้

2. มูลค่าและการเติบโต (Market Cap)

เติบโตได้อีกกี่เท่าตัว?  สามารถเข้าไปดู Market cap ของแต่ละเหรียญได้ง่ายๆ ใน Coinmarketcap.com Market cap จะทำให้เราเห็นว่าการลงทุนของเรานั้นมีสิทธิที่จะเติบโตขนาดไหน

3. ทีมงาน ,Partner และ Adviser 

สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างนึงคือทีมงาน เพราะโปรเจคจะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับคนกลุ่มนี้ ในเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะโชว์ว่าคนเหล่านี้คือใคร ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้หลายอย่าง เช่น

  • ตรวจสอบประวัติ ว่ามีตัวตนจริงๆ (LinkedIn profile) หรือไม่มีประวัติเสีย
  • ทีมงานทำงาน full-time หรือ part-time
  • ทีมงานดูมีความพร้อมและความสามารถขนาดไหน
  • ในขณะเดียวกัน บางโปรเจคนั้นจะจงใจไม่เปิดเผยทีมงาน ซึ่งอาจจะทำให้ตรวจสอบยากหน่อย

4. ผลประโยชน์ของผู้ถือเหรียญ (ปันผล)

เหรียญที่เราถือ มันมีไว้ทำอะไร?

เมื่อเราลงทุนกับอะไรเราย่อมต้องการผลตอบแทน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจว่าผู้ถือหรียญจะได้รับผลประโยชน์อะไร  บางเหรียญจ่ายเงินปันผล บางเหรียญเป็นเชื้อเพลิง บางเหรียญอาจจะเป็นแค่ store of value  โปรเจคที่ดีนั้นควรอธิบายถึงประโยชน์ของการถือเหรียญนั้น ไม่ว่าจะใน Whitepaper หรือบนเว็บไซต์

รีวิว 2 เหรียญมีปันผล Neo และ Kucoin รายได้แบบ Passive income

วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ 2 เหรียญที่จ่ายปันผล (Stake) ที่สามารถสร้างรายได้เป็น Passive Income ให้กับผู้ถือเหรียญ เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังต้องการสร้างทรัพย์สินดิจิตอล ให้เกิดขึ้นจริง ตามไปดูกัน ว่ามีเหรียญไหนบ้าง

อ่านต่อ ที่นี่

5. ความคืบหน้า และผลงาน

โปรเจคนี้ทำอะไรไปแล้วบ้าง สามารถสอบถามหรือติดตามอัพเดทจากทีมงานได้ที่ Slack, Telegram, Blog, Bitcointalk, Reddit

โปรเจคที่ดีควรมีช่องทางในการสื่อสารกับนักลงทุนหลากหลายวิธี และมีการอัพเดทเป็นประจำ อาจจะทุกเดือน เพื่อโชว์ความคืบหน้าของโปรเจคนั้นๆ

 

คนที่เริ่มต้นอยากลงทุนอาจจะเคยได้ยินคำแนะนำว่า หากยังไม่มีตัวที่เรารักหรือต้องการถือยาวๆ ก็ควรเริ่มต้นกับ Top 10 หรือ Top 50 ทีนี้ ก็อาจะเกิดคำถามว่า มันคืออะไร? ทำไมต้องเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น?

Top 10 Top 50 หรือ  Top 100 ก็ไม่ต่างจากหุ้น Set 50 หรือ Set 100 คือตัวที่มีสภาพคล่องสูง มีการซื้อขายเยอะ ปริมาณการซื้อขายต่อวัน มีความสม่ำเสมอ ไม่แตกต่างมากเกินไป และที่สำคัญเหรียญส่วนใหญ่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

คราวนี้เรามาดูตัวอย่างใน YouTube ที่ทำการทดลอง ถือเหรียญ Top 10 Best Altcoins ในปี 2016 มาดูกันว่า 1 ปีผ่านไป เงินจำนวนนี้เพิ่มมูลค่าเป็นเท่าไหร่? ไปดูกันเลย!

 ลงทุนเหรียญเหล่านี้ ตัวละ 1000 ดอลล่าร์ 1 ปี ผ่านไป เงินก้อนนี้จะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เป็น 240,279 ดอลล่าร์

 

ตัวอย่างต่อมา ถ้ามีเงิน 1000 ดอลล่าร์ ถือเหรียญ Top 20 ตั้งแต่ 1 มค 2017 ถึง 31 ธค 2017

เรามาดูกันว่าลงทุน 1000 ดอลล่าร์ไปกับทุกเหรียญ Top 20 ตอนต้นปี และปลายปี จะเป็นเงินเท่าไหร่?

การกราฟแสดงให้เห็นว่า ลงทุน $1000 ผ่านมา 1 ปี เหรียญมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบทุกตัว โดยเหรียญที่ทำไรสูงสุดคือ XRP มีมูลค่า $302,518 เพิ่มขึ้น 302 เท่า บิทคอยน์ มูลค่าเพิ่มเป็น $13,360 เพิ่ม 13 เท่า , Etherium มูลค่าเพิ่มเป็น $87,878 เพิ่ม 87 เท่า ส่วน EDR มูลค่าลดลงเหลือ $10 เท่านั้น

ผู้เขียนจึงอยากจะแนะนำมือใหม่ว่า การที่เราถือเหรียญใดๆไว้ ควรพิจารณาหลายอย่างประกอบด้วย การที่เราแบ่งเงินลงทุน กระจายความเสี่ยง และเพื่อถือเหรียญที่มีอนาคต ในระยะยาว ถือว่าคุ้มค่ามาก จะเห็นได้จากตัวอย่าง ที่ทำการทดลอง ถือเหรียญ Top 10 Best Altcoins ในปี 2016 และ Top 20 Best Altcoins ในปี 2017 โดยถ้าได้ลงทุนเหรียญเหล่านี้ ตัวละ 1000 ดอลล่าร์ 1 ปี ผ่านไป เงินก้อนนี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

แล้วปี 2018 นี้หล่ะ จะเลือกตัวไหนดี??  ผู้เขียนไม่อยากฟันธงตัวไหนจะขึ้นลง แต่เอาเป็นว่า เรามาดู Top 20 ในปี 2018 ว่ามีเหรียญไหนบ้าง? เผื่อเป็นแนวทางให้มือใหม่ เริ่มต้นจากเหรียญเหล่านี้ก่อน

** อย่าลืม การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง

อย่าเล่นแบบหวังฟลุ๊ค แต่ให้วางแผนรวยแบบเอาจริง’ ลองซื้อเหรียญดิจิตอลตัวแรกดู ..เลือกเหรียญนั้นๆเอง แล้วคุณจะได้ความรู้ และประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น ..ถ้าถูกเราก็จะได้รู้ว่าถูก ถ้าผิดเราก็เรียนรู้แก้ไข พัฒนาความรู้ได้

“อะไรก็เกิดขึ้นได้ในการลงทุนในโลก Cryptocurrency การศึกษาหาข้อมูล และการกระจายความเสี่ยง เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก ตลอดทั้งเรียนรู้จากความผิดพลาด และหาแนวทางปรับปรุงเพื่อทำให้การลงทุนครั้งใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม  เชื่อว่าหากเราหมั่นทบทวนตัวเอง และทบทวนการลงทุนของเราอย่างสม่ำเสมอ เราจะประสบความสำเร็จจากการลงทุนอย่างแน่นอน”

ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน



10 เว็บเทรด Bitcoin ที่มีการซื้อขายสูง ที่อาจทำให้คุณรวย!!

ปัจจุบันมี เว็บเทรด Bitcoin เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญผุดขึ้นมามากมายทั่วโลก สำหรับมือใหม่หลายคน ไม่รู้จะเลือกเทรดบิทคอยน์ที่ไหนดี?? การเลือกเว็บเทรดบิทคอยน์ที่ดีนั้น จะมีผลต่อการเทรดของคุณอย่างมาก มันอาจจะเป็นตัวชี้วัดในการทำกำไรในอนาคตของคุณเลยก็ว่าได้

>>> อ่านต่อ ที่นี่ <<<

5 วิธีเริ่มต้นเล่นบิทคอยน์ สำหรับมือใหม่

บิทคอยน์ กำลังเป็นกระแสที่คนกำลังพูดถึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเรื่องที่หลายๆคน กำลังติดตามราคาของ บิทคอยน์ หรือ สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ (Altcoin ) กันมากขึ้น  แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เข้าใจว่า บิทคอยน์ ที่กำลังเป็นกระแสอยู่นี้คืออะไร  เชื่อว่า ต่อไปนี้เราจะได้เห็นข่าวและคนโพสต์ราคา บิทคอยน์ กันมากยิ่งขึ้น และสำหรับคนที่ไม่รู้จักหรือเพียงได้ยินแค่คำว่า บิทคอยน์ ก็อาจจะมึนงงว่าที่มันข่าวอะไรกัน หลายคนเข้ามาเล่นบิทคอยน์โดยที่ยังไม่เข้าใจดีพอด้วยซ้ำ

 

วันนี้จึงขอใช้พื้นที่นี้ อธิบายให้กับมือใหม่ ในวงการ Bitcoin ให้ได้เข้าใจ ในการเริ่มต้นเล่นบิทคอยน์ กันอย่างคร่าวๆ   โดยขอเริ่มอธิบายความหมายง่ายๆของ Bitcoin ก่อนเลย

 

Bitcoin คือ หนึ่งในกลุ่มสกุลเงินดิจิตอล  หรือที่เรียกว่า Cryptocurrency เป็นเงินดิจิตอล ที่สามารถนำไปแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการได้ บิทคอยน์มีความแตกต่างกับสินทรัพย์แบบอื่นที่ไม่อิงกับทองหรือถูกพิมพ์ออกมา  บิทคอยน์มีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น  เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่เกิดขึ้นมาช่วงปี 2008 โดยบุคคลที่ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากะโมโตะ

 

คุณสมบัติเด่นของ บิทคอยน์ คือ

  • เป็นเงินดิจิตอล 100 % จับต้องไม่ได้
  • ไม่ต้องมีบัญชีธนาคารก็ใช้ได้ เพียงแค่มีอินเตอร์เน็ต เท่านั้น
  • ไม่มีองค์กรใด หรือ มีรัฐ มาคอยควบคุมกำกับ
  • การทำธุรกรรมไม่จำเป็นต้องผ่านแบงค์
  • ทุกธุรกรรมจะถูกบันทึกและเปิดเผย
  • ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนจริงๆ

 

ข้อดีของบิทคอยน์

ข้อเสียของบิทคอยน์

  • มูลค่าของมันไม่ได้ตกอยู่ในการควบคุมของรัฐบาล ถือว่าเราเป็นเจ้าของเงินอย่างแท้จริง
  • มูลค่าสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการมากขึ้น ในขณะที่จำนวนบิทคอยน์เท่าเดิม
  • เราสามารถรับหรือส่งบิทคอยน์ให้กับใครก็ได้ในโลกนี้ได้อย่างรวดเร็วด้วยตัวของเราเอง
  • ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องตัวกลางเช่น bank, paypal, moneygram
  • เสียค่าธรรมเนียมน้อยมากๆ
  • ราคามีความผันผวนสูง
  • ยังไม่มีกฎหมายรองรับ จากธนาคารแห่งประเทศไทย
  • ยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายในไทย และบางประเทศ
  • การซื้อ ขาย และการใช้งาน อาจจะดูยุ่งยาก สำหรับมือใหม่
  • มีหลายกลุ่มใช้ BitCoin เป็นช่องทางของธุรกิจด้านมืด
  • มีความเสี่ยงในการถูก Hack

 

3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีการซื้อขายสูงสุดปี 2020

ใครที่อยากลองเทรดในตลาดต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง บทความนี้ เรามาดูกันว่า 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2020 มีเจ้าไหนบ้าง ไปดูกัน

อ่านต่อที่นี่

มือใหม่ต้องการเล่นบิทคอยน์ ต้องทำอย่างไร ?

ขั้นตอนในการเริ่มต้นเล่นบิทคอยน์ มีคร่าวๆดังนี้  

1. ต้องศึกษา ทำความเข้าใจพื้นฐานเรื่องบิทคอยน์ก่อน ว่า บิทคอยน์ คือ อะไร?

อย่าพึ่งลงทุน หากยังไม่มีความรู้เรื่องบิทคอยน์

 

2.ต้องลงทะเบียนสมัคร กับ บริษัทซื้อขายบิทคอยน์ในประเทศไทย

การเริ่มต้นซื้อบิทคอยน์ เราสามารถเลือกซื้อได้หลายเว็บไซต์ แต่ส่วนใหญ่คนไทยจะใช้บริการซื้อบิทคอยน์ที่ BX.in.th เนื่องจากเป็นบริษัทอันดับ 1 ในไทย ที่น่าเชื่อถือที่สุด ดูรายชื่อเว็บไซต์ที่ให้บริการซื้อขายบิทคอยน์ทั้งหมดได้ ที่นี่..เลย

5 เว็บไซต์ซื้อขาย Bitcoin ในไทย มือใหม่ห้ามพลาด!

ถูกถามกันมาเยอะมาก ว่า ซื้อบิทคอยน์ ได้ที่ไหน เว็บไหนน่าเชื่อถือ ? ถ้าคุณกำลังมองหาแหล่งซื้อขายเงินบิทคอยน์ วันนี้เรามีบทความที่จะพาคุณไปทำความรู้จัก กับ 5 เว็บไซต์ซื้อขาย Bitcoin ในไทย ที่คุณเป็นสมาชิกได้ทันที!

>>>อ่านต่อ ที่นี่<<<

 

3. หลังจากที่มีบัญชีเป็นของตัวเองแล้ว ก็สามารถทำการซื้อบิทคอยน์ได้ 

มือใหม่สามารถเข้าไปดูการเปิดบัญชี และ การซื้อบิทคอยน์ ได้ที่นี่

มาดู วิธีใช้งาน กับ bx.in.th เว็บเทรดเหรียญอันดับ 1 ในเมืองไทย

หลังจากที่ระบบอนุมัติบัญชีให้แล้วเรามาดูกันว่า จะเริ่มฝากเงินอย่างไร เข้าเทรดอย่างไร และระบบของ bx.in.th เป็นอย่างไร ไปดูกันเลย

>>>อ่านต่อ ที่นี่<<<

คุณสามารถซื้อบิทคอยน์ ได้ตามกำลังทรัพย์ที่มี ยกตัวอย่างเช่น

สมมุติ ราคา 1 บิทคอยน์ วันนี้ เท่ากับ 500,000 บาท           1 บิทคอยน์ มีหน่วย เท่ากับ 1.00 000 000  Satoshi 

ถ้าคุณมีเงิน 500 บาท สามารถซื้อบิทคอยน์ ได้ประมาณ 100 000 Satoshi  หรือ 0.00100000 BTC

ถ้ามีเงิน 1000 บาท สามารถซื้อบิทคอยน์ ได้ประมาณ 200 000 Satoshi  หรือ 0.00200000 BTC

บิทคอยน์ที่คุณซื้อจะถูกเก็บไว้ในกระเป๋าบิทคอยน์ เว็บไซต์ซื้อขายบิทคอยน์จะมีบริการกระเป๋าบิทคอยน์ฟรีให้ผู้ใช้บริการอยู่แล้ว ในกระเป๋าบิทคอยน์จะมีกระเป๋า รับ ส่ง ซึ่งต้องระวังให้ดี อย่ากดสลับกันนะ เพราะมือเก่าแล้วยังเคยกดผิดบ่อยๆ

หน้าตาของกระเป๋าบิทคอยน์ ในเว็บ BX.in.th

 

4.เมื่อคุณได้บิทคอยน์ มาครอบครองแล้ว คราวนี้มาถึงการตัดสินใจว่าเราอยู่สายไหน 

  • ถ้าเป็นสายลงทุนระยะยาว ควรย้าย บิทคอยน์ ไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย เช่น กระเป๋าแบบ Hardware Trazer Nano หรือ กระเป๋าบิทคอยน์ ที่มีระบบความปลอดภัย เชื่อถือได้

รวบรวม กระเป๋าบิทคอยน์ ประเภทต่าง ๆที่คุณควรรู้

ก่อนจะเริ่มใช้บิทคอยน์ หรือเหรียญดิจิตอลอื่นๆ เราต้องมี กระเป๋าบิทคอยน์ (wallet) เสียก่อน เพราะ ถ้าไม่มีกระเป๋าบิทคอยน์ เราก็จะไม่สามารถรับ เก็บ หรือใช้บิทคอยน์ได้ กระเป๋าสตางค์บิทคอยน์เปรียบเสมือนตัวกลางที่เชื่อมระหว่างเรากับระบบบิทคอยน์

>>>อ่านต่อ ที่นี่<<<
  • ส่วนใครที่เป็นนักเทรดสามารถทำการโอนย้ายบิทคอยน์ไป เทรดในเว็บไซต์ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงได้ เช่น Binance.com, Bitfinex.com, Bittrex.com เป็นต้น
  • สำหรับผู้เขียนจะซื้อเหรียญบิทคอยน์ที่ BX.in.th แล้วโอนบิทคอยน์ไปเทรดทำกำไรในตลาดที่มีการซื้อขายสูง เช่น Binance.comBitfinex.comBittrex.com เมื่อทำกำไรได้ก็โอนบิทคอยน์ มาขายที่ BX ซึ่งสามารถขายและถอนเงินบาทได้อย่างรวดเร็วมาก

10 เว็บเทรด Bitcoin ที่มีการซื้อขายสูง ที่อาจทำให้คุณรวย!!

สำหรับมือใหม่หลายคน ไม่รู้จะเลือกเทรดบิทคอยน์ที่ไหนดี?? การเลือกเว็บเทรดบิทคอยน์ที่ดีนั้น จะมีผลต่อการเทรดของคุณอย่างมาก มันอาจจะเป็นตัวชี้วัดในการทำกำไรในอนาคตของคุณเลยก็ว่าได้

>>>อ่านต่อ ที่นี่<<<

การเทรดเหรียญ Altcoin หรือเหรียญดิจิตอลทางเลือก

มีเหรียญดิจิตอลให้เทรดทำกำไรมากกว่า 2,000 ตัว สามารถเข้ามาเช็คได้ที่ Coinmarketcap.com  เพื่อให้ไปศึกษาให้รู้จักตัวย่อเหรียญเบื้องต้นก่อน   ในการซื้อเหรียญ Altcoin จะต้องมี Bitcoin หรือ Etherium ซึ่งเป็นเหรียญมาตรฐานในการซื้อขาย แลกเปลี่ยนก่อนเสมอ

วิธีการเลือกเทรดขั้นต้น สำหรับมือใหม่ไม่เคยทราบข้อมูลเกี่ยวกับแวดวงเงินดิจิตอล แนะนำให้ลองเลือกเทรด จาก Top 20 เหรียญในตารางการซื้อขายดูก่อน  โดยทำการศึกษาข้อมูลของเหรียญแต่ละตัว ให้เข้าใจ และ เรียนรู้การดูกราฟเทคนิคอลเบื้องต้น ในการเข้าใจจังหวะในการลงทุนก่อนที่จะตัดสินใจซื้อเหรียญด้วย

Altcoin คือ อะไร? แนะนำวิธีหารายได้กับ Altcoin

เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และ มันใกล้ตัวเรา มากขึ้นแล้ว เลยต้องศึกษาและติดตามมันให้ทันซะหน่อย เพราะเงินสกุลเงินดิจิตอล เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และใกล้ตัวเราเรื่อยๆๆ วันนี้จึงอยากหยิบยกเรื่อง Altcoin สกุลเงินดิติตอลทางเลือก มาฝากกัน จะได้ทันโลกไม่ตกยุค

>>>อ่านต่อ ที่นี่<<<

 

5. หาข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับบิทคอยน์ ให้มากๆ

สำหรับมือใหม่ อยากจะเน้นให้มองภาพใหญ่ของตลาดบิทคอยน์ก่อน เพราะมีความสำคัญมากๆต่อเหรียญรายตัว  บิทคอยน์มีข่าว ทั้งด้านบวก ด้านลบ มันส่งผลให้ราคาผันผวนอย่างมาก อันนี้ต้องใช้วิจารณญาณให้มากๆด้วย สำหรับมือใหม่ไม่รู้เทคนิคขั้นเทพ ลองศึกษาดูทีละขั้นไป ส่วนคนที่เล่นมาก่อน เล่นเก่งแล้วต้องปล่อยเค้าไป อย่าไปตาม การศึกษาการลงทุนบิทคอยน์ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากในบ้านเรา อาจจะต้องใช้เวลาศึกษา และ เริ่มอย่างระวังดีกว่า




เรามาดู Step by Step คร่าวๆการเล่นบิทคอยน์ ให้เห็นภาพชัดๆกันอีกที 

ยกตัวอย่าง เช่น นาย B ต้องการเริ่มเล่นบิทคอยน์ โดยมีเงินลงทุน 1,000 บาท

Step แรก : นำเงิน 1,000 บาท ไปแลกซื้อบิทคอยน์ ที่ Bx.in.th ได้บิทคอยน์จำนวน 0.00150000 บิทคอยน์นี้จะถูกเก็บในกระเป๋าบิทคอยน์ที่ BX 

Step สอง : เมื่อได้บิทคอยน์แล้ว ต่อไปก็เป็นการตัดสินใจว่าจะไปสายไหน

  • สายลงทุน : นำบิทคอยน์ ไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ถือระยะยาว เมื่อได้ราคาที่พอใจ ก็นำมาขายที่ Bx.in.th
  • สายเทรด : นำบิทคอยน์ไปเทรดในตลาดที่มีการซื้อขายปริมาณสูง เช่น  Binance.comBitfinex.comBittrex.com เมื่อได้กำไรก็นำเหรียญมาแลกเงินบาทที่ Bx.in.th  >>หาข้อมูลเรื่อง เว็บเทรดบิทคอยน์ ที่นี่ 
  • สายเทรดหรือลงทุนในเหรียญทางเลือกอื่นๆ (Altcoin) : นำบิทคอยน์ไปแลกซื้อเหรียญดาวรุ่งอื่นๆ เช่น OMG, TRX, ADA อื่นๆ เพื่อถือไว้ระยะยาว หรือ เทรดระยะสั้น เมื่อได้กำไรก็นำเหรียญมาแลกเงินบาทที่ Bx.in.th เช่นกัน >> หาข้อมูลเรื่องเหรียญทางเลือก Altcoin ได้ที่นี่
  • สายขุด : นำบิทคอยน์ไปซื้อกำลังขุดเหรียญบิทคอยน์ หรือ ขุดเหรียญทางเลือกอื่นๆได้ เข้าไปดูกำลังขุดที่ Genesis Mining, ViaBTC.comezacoin.com >> หาข้อมูลเรื่องการขุดเหรียญต่างๆได้ ที่นี่

**สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง หรือมีคำถามอื่นๆ สามารถสอบถาม หรือ ติดต่อเราได้ที่ https://www.facebook.com/GoalBitcoin/

————————————————————————————————————————————————-

เป็นกำลังใจให้ทุกคน และขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย และทำกำไรจากตลาด Cryptocurrency

ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ 




คำเตือน : ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ถอดด้ามทุกคนต้องศึกษาหาความรู้ก่อนลงสนามจริง !!!

4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต ประจำปี 2563

วันนี้เราได้รวบรวม 4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต โดยเว็บเทรดทั้ง 4 นี้ สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามบทเฉพาะกาลตามคำสั่งของ ก.ล.ต. หรือ ได้รับ License แล้วนั่นเอง

อ่านต่อที่นี่

3 คดีดังแชร์ลูกโซ่ ล่าเหยื่อ“คนอยากรวย” (รู้ทันการต้มตุ๋นทางการลงทุน)

3 คดีดังแชร์ลูกโซ่ ล่าเหยื่อ“คนอยากรวย” (รู้ทันการต้มตุ๋นทางการลงทุน)

หลาย ๆ ครั้งเราคงได้พบกับเพื่อนสนิทสักคนที่ชอบมาแนะนำการลงทุนที่ดีให้กับเรา ทั้งการบอกว่านี่เป็นโอกาสที่จะสร้างอนาคตให้ตัวเอง หรือแม้แต่บอกว่าต้องการแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับเรา และหลายครั้งอีกเช่นกันที่เรามักจะเผลอเชื่อใจคนสนิทและลงทุนไปกับการลงทุนที่ “ดูท่าทาง” จะไปได้สวย บางธุรกิจนั้นดูดีและน่าเชื่อถือจริง ๆ แถมยังมีคนดัง ผู้เชี่ยวชาญร่วมลงทุนในโครงการนี้ไปอีกตั้งเยอะ ในเมื่อคนที่มีความรู้มากกว่าเรายังลงทุนไปกับโครงการนี้ แล้วทำไมเราถึงไม่ลงทุนตามเขาไป ดูยังไงโอกาสกำไรก็เห็นอยู่ชัด ๆ

 

ซึ่งทุกครั้งการต้มตุ๋นทางการเงินเองก็มีจุดประสงค์ให้เราเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ เพื่อจะทำการหลอกลวงเงินจากผู้ลงทุนจำนวนมากมาย ก่อนที่จะเชิดเงินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตา (กับความซวยและหนี้) ของนักลงทุนที่ไม่ใส่ใจกับการลงทุนของตนเอง โดยการต้มตุ๋นเหล่านี้หลายครั้งสามารถลอยนวลอยู่ได้นับสิบปี และกวาดเงินไปได้หลายพันล้านเลยทีเดียว

 

 วันนี้จะขอเล่าถึงการต้มตุ๋นทางการลงทุน รูปแบบที่เคยส่งผลกระทบต่อผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็คือ กลยุทธ์ต้มตุ๋นแบบพอนซี (Ponzi’s Scheme) และ แบบปิรามิด (Pyramid Scheme) นั่นเอง พร้อมทั้ง 3 คดีดัง ที่ยังคงเป็นที่กล่าวถึงในปัจจุบัน

 

1. กลยุทธ์ต้มตุ๋นแบบพอนซี Ponzi’s Scheme

 

กลยุทธ์ต้มตุ๋นแบบ Ponzi’s Scheme คืออะไร?

 

หากต้องการพูดแบบสั้น ๆ กลยุทธ์แบบ Ponzi นั้นมีรูปแบบการทำงานที่ง่ายดายมาก นั่นคือ ผู้ทำการต้มตุ๋นจะหลอกนักลงทุนด้วยผลประโยชน์หรือเงินปันผลที่ดูดีเกินจริง เพื่อหลอกให้มีคนลงทุนจำนวนมาก จากนั้นจึงเอาเงินลงทุนที่ได้จากสมาชิกใหม่มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับสมาชิกรุ่นเก่าไปเรื่อย ๆ นั่นเอง

โดยธุรกิจประเภทนี้จัดเป็นการต้มตุ๋น เนื่องจากเงินลงทุนนั้นไม่ได้นำไปลงทุนจริง ๆ แต่เป็นเพียงการรวมเงินไว้ และจ่ายเงินปันผลเท่านั้น เมื่อการต้มตุ๋นประเภทนี้สิ้นสุดลง ไม่ว่าจะด้วยการตรวจสอบ หรือจากการไม่มีผู้ลงทุนรายใหม่ (โดนหลอกกันเรียบร้อยทั้งบ้านทั้งเมือง) ก็ตาม จะพบว่ามีผู้ที่ได้กำไรจำนวนน้อย (สมาชิกรุ่นแรก) และมีผู้ที่ซวย (แมงเม่าที่เข้ามาทีหลัง) จำนวนมาก

ซึ่งชื่อของการต้มตุ๋นนี้ก็มาจากชื่อของ นายชาร์ล พอนซี (Charles Ponzi) นักต้มตุ๋นชาวอิตาเลียน-อเมริกัน ผู้นำกลยุทธ์นี้มาใช้สร้างความล่มจมให้ผู้คนจำนวนมากในอเมริกาในช่วงปี 1920 นั่นเอง

 

นาย Charles Ponzi เป็นใคร?

 

ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ปี 1903 ชายอิตาเลียนคนหนึ่งได้เดินทางมาถึงอเมริกาเพื่อหางานทำและชีวิตใหม่ โดยการมาถึงของชายผู้นี้ไม่มีสิ่งใดติดตัว นอกจากเงินเพียง 2.5 ดอลลาร์เท่านั้น เนื่องจากการพนันในการเดินเรือได้ดูดเอาเงินเก็บของเขาไปจนหมด (การพนันไม่ทำให้ใครรวย ยกเว้นเจ้ามือ?) เป็นเวลาหลายปีที่ชายผู้นี้ต้องทำงานต่าง ๆ ในเมือง ทั้งการเป็นเด็กล้างจาน  ได้เลื่อนชั้นเป็นบริกร แต่ก็ถูกไล่ออกอย่างรวดเร็วเพราะไปโกงเงินทอนลูกค้าและขโมยของ ทำงานในธนาคารที่มอนทรีออล แต่ก็ก่อเรื่องปลอมเช็ค กลับมาที่อเมริกา แต่แล้วก็ไปก่อเรื่องลักลอบนำเข้าแรงงานอิตาลีอีก จนต้องไปนอนคุกอยู่หลายครั้ง

 

ในเวลาต่อมาเขาก็ได้กลับมาที่บอสตัน และได้แต่งงานกับหญิงผู้หนึ่งชื่อโรส มาเรีย ผู้ได้ออกทุนทำธุรกิจให้กับเขา แต่ก็ล่มจมในเวลาไม่นานนัก หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ เขาก็ได้รับ จดหมายจากบริษัทสเปน ซึ่งในซองนั้นคือ “วิมัยบัตร” (International Reply Coupon – IRC) นั่นเอง จากการตรวจสอบข้อมูลเล็กน้อย เขาก็มองเห็นช่องโหว่ของสินค้าชนิดนี้ ที่อาจจะทำเงินให้กับเขาได้

การต้มตุ๋นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในอเมริกา กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว….

 

วิมัยบัตร (IRC) คืออะไร

 

ในช่วงปี 1920 นั้นโลกยังไม่มีอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่โทรศัพท์อย่างในปัจจุบัน วิธีการติดต่อที่เป็นที่นิยมที่สุดก็คือการส่งจดหมาย แต่การส่งจดหมายไปหาญาติพี่น้องหรือเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศนั้นก็อาจจะเป็นการสร้างภาระให้กับผู้ตอบได้เช่นกัน เพราะการตอบจดหมายก็จำเป็นต้องใช้เงิน (ซึ่งอาจจะแพงกว่า ขึ้นอยู่กับประเทศ) ในการตอบกลับ ดังนั้นสินค้าที่มีชื่อว่า International Reply Coupon หรือ IRC จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1906 โดยสินค้าชนิดนี้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับจดหมายข้ามประเทศทั่วไป เพียงแต่มูลค่าของคูปองนี้ได้รวม “ค่าส่งจดหมายตอบกลับมายังผู้ส่ง” ไว้แล้ว ทำให้ผู้รับจดหมายสามารถส่งจดหมายตอบกลับได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายนั่นเอง

 

วิมัยบัตร (International Reply Coupon – IRC)

 

จุดบอดของสินค้าชนิดนี้ก็คือ ในขณะที่นายชาร์ลค้นพบนั้น คูปอง IRC ในอิตาลีมีราคาถูกกว่าในอเมริกามาก เนื่องมาจากเงินเฟ้อที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นายชาร์ลจึงออกแบบธุรกิจลงทุนชนิดหนึ่งขึ้น โดยเขาจะซื้อคูปอง IRC ในประเทศที่มีราคาถูก และนำกลับมาขายในอเมริกาในราคาแพงกว่า และส่วนต่างนั้นก็คือกำไร ซึ่งเขาบอกว่าส่วนต่างนั้นทำให้มีกำไรมากถึง 400% อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในทางทฤษฎีแล้วการทำธุรกิจรูปแบบนี้สามารถสร้างกำไรได้ แต่ในการทำจริงนั้นไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะค่าใช้จ่ายในการขนส่ง รวมถึงระยะเวลาในการขนส่งนั้นทำให้ไม่สามารถทำจริงได้ แต่ถึงแม้จะทำจริงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่นายชาร์ลต้องการไม่ใช่ธุรกิจ ….แต่เป็นการหลอกลวง แค่มัน “เป็นไปได้” ก็มากเกินพอ

 

จุดเริ่มต้นของ “การลงทุน”

 

หลังจากการค้นพบ IRC และหนทางทำกำไรจากมันได้ไม่นาน นายชาร์ลก็เริ่มต้นการลงุทนของเขา โดยเริ่มจากการชักชวนเพื่อนให้ร่วมลงทุนในธุรกิจที่ “กำลังเกิดใหม่” โดยสัญญาว่าจะเพิ่มเงินลงทุนให้ 50% ภายใน 3 เดือน ซึ่งผู้ลงทุนรุ่นแรกก็ได้เงินตามที่สัญญาไว้ คือได้กำไรถึง 750 ดอลลาร์ จากเงินลงทุน 1,250 ดอลลาร์

จากนั้นไม่นานเขาก็ตั้งบริษัทของตัวเอง และมีนักลงทุนเพิ่มขึ้นไม่ขาดสาย และยังได้จ้างนายหน้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้อย่างงาม ภายในเวลาไม่ถึงปีก็มีเงินลงทุนในธุรกิจของนายชาร์ลนับล้านดอลลาร์ นักลงทุนมากมายนำเงินเก็บทั้งชีวิตเข้าลงทุน บางคนถึงกับจำนองบ้านเพื่อนำเงินมาลงทุนเลยทีเดียว นอกจากนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถอนเงินออกมา แต่นำเงินที่ได้เพิ่มมานั้นลงทุนกลับเข้าไปอีก จึงเห็นได้ว่าในความเป็นจริงแล้วเงินในระบบแทบจะไม่ได้ถูกจ่ายเป็นเงินปันผลเลย และในกรณีที่มีคนถอนเงินออก นายชาร์ลก็เพียงแต่นำเงินจากนักลงทุนหน้าใหม่จ่ายเป็นเงินปันผลให้ไปเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจใด ๆ เลย

อย่างไรก็ตาม นายชาร์ลก็ไม่ใช่นักต้มตุ๋นที่รอบคอบมากนัก เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟู่ฟ่า ทั้งการซื้อบ้านในเล็กซิงตัน พร้อมเครื่องปรับอากาศและสระว่ายน้ำ (ซึ่ง “โคตรหรู” ในสมัยนั้น และอาจจะสมัยนี้ด้วย) และออกเงินพาแม่ของเขามายังอเมริกาอย่างหรูหราที่สุด

 

จุดจบของ “การต้มตุ๋น”

 

แน่นอนว่าธุรกิจที่ “ผิดธรรมชาติ” ของนายชาร์ลทำให้มีผู้ที่ระแวงเขาเป็นจำนวนมาก นักเขียนในบอสตันคนหนึ่งได้เขียนถึงนายชาร์ลว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถปันผลได้ในเวลาที่รวดเร็วขนาดนั้น ซึ่งก็ทำให้นักเขียนผู้นี้ถูกฟ้อง และเสียค่าปรับถึง 500,000 ดอลลาร์ให้นายชาร์ล แต่ก็ได้ทำให้นักลงทุนบางคนถอนตัวไป แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นานจะมีการเขียนบทความหนึ่งลงในหนังสือพิมพ์ Boston Post

โดยกล่าวว่าธุรกิจของนายชาร์ลนั้นจ่ายเงินปันผลได้ถึง 50% ในเวลาเพียง 45 วัน ในขณะที่ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยได้เพียง 5% ต่อปีเท่านั้น หนึ่งวันหลังจากบทความถูกตีพิมพ์ ก็มีนักลงทุนนับพันต้องการลงทุนในธุรกิจของนายชาร์ล แต่ในวันที่บทความถูกตีพิมพ์นั้น นายชาร์ลก็ต้องเข้าพบกับเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลที่ต้องการจะตรวจสอบบัญชี ซึ่งเขาก็สามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบไปได้โดยการเสนอว่าจะหยุดรับเงินลงทุนเพิ่มในระหว่างที่มีการตรวจสอบ ทำให้การตรวจสอบชะงักไปพักหนึ่ง เนื่องจากเขาไม่เคยบันทึกบัญชีเอาไว้ (เพราะเป็นการต้มตุ๋น)

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานทางหนังสือพิมพ์ก็เริ่มขุดคุ้ยเรื่องการทำธุรกิจนี้ โดยมีการว่าจ้างนักวิเคราะห์ด้านการเงิน Clarence Barron โดยได้กล่าวว่า การทำธุรกิจของนายชาร์ลนั้นจ่ายเงินปันผลจำนวนมากภายในเวลาที่เร็วอย่างเหลือเชื่อ แต่ตัวนายชาร์ลเองนั้นกลับไม่ลงทุนในธุรกิจของตนเอง และการลงดาบขั้นสุดท้ายก็คือ การกล่าวว่า หากธุรกิจของนายชาร์ลทำงานอยู่จริงตามที่อ้าง จะต้องมีคูปอง IRC ถูกใช้อยู่ในปัจจุบันถึง 160 ล้านใบ ในขณะที่มีการใช้จริงเพียง 27,000 ใบเท่านั้น การวิเคราะห์นี้ทำให้เกิดความแตกตื่นขึ้นอย่างมาก โดยนายชาร์ลต้องจ่ายเงินให้นักลงทุนถึง 2 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเพียง 3 วันเท่านั้น

หลังจากนั้นธุรกิจก็ถูกตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่จากรัฐแมสซาชูเซตต์ต้องตรวจสอบบัญชีของบริษัทอย่างยากลำบาก เพราะบัญชีของบริษัทไม่มีอะไรเลยนอกจากชื่อของนักลงทุน (เพราะไม่ได้ทำธุรกิจจริง) ในระหว่างนั้นนายชาร์ลก็ได้จ้างเอเย่นต์ผู้หนึ่งเพื่อปิดข่าว แต่การว่าจ้างนี้กลับทำให้เรื่องเลวร้ายยิ่งขึ้น เพราะเอเย่นต์รายนี้ กลับยิ่งสงสัยในตัวธุรกิจนี้

ในปลายเดือนกรกฎาคมปี 1920 เขาก็ได้ค้นพบเอกสารหลายฉบับที่บ่งชี้ว่าธุรกิจของนายชาร์ลนั้นน่าจะเป็นเพียงการนำเงินของคนหนึ่งมาจ่ายให้กับนักลงทุนอีกคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเรื่องอื้อฉาวนี้ก็นำไปสู่การตรวจสอบหนี้สิน บัญชีธนาคารของนายชาร์ล และจุดสิ้นสุดของการต้มตุ๋นครั้งนี้ในวันที่ 11 สิงหาคม 1920 นั่นเอง

ซึ่งจากการวิเคราะห์ พบว่าการต้มตุ๋นครั้งนี้หลอกเงินจากนักลงทุนไปได้ถึง 20 ล้านดอลลาร์ โดยสามารถเทียบเป็นเงินในปัจจุบันได้ประมาณ 225 ล้านดอลลาร์

 

แม้จะดูเหมือนว่าการต้มตุ๋นของนายชาร์ลเมื่อปี 1920 นั้นน่าจะดูออกได้ง่าย เพราะการจ่ายเงินที่เกินจริง หรือแม้แต่การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายของเจ้าตัวก็ตาม แต่ก็มีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมาก แล้วถ้ามีการทำให้แนบเนียนยิ่งขึ้นล่ะจะเป็นอย่างไร?

 

ต่อไปจะขอแนะนำนักต้มตุ๋นอีกคนหนึ่งที่ใช้กลยุทธ์แบบเดียวกันนี้ แต่สามารถทำเงินได้มากกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด และที่สำคัญยังเป็นการต้มตุ๋นในยุคปัจจุบันเสียด้วย โดยการต้มตุ๋นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์นี้ถูกเปิดเผยในปี 2008 รวมระยะเวลาในการต้มตุ๋นทั้งหมดกว่า 13 ปี และเป็นเรื่องราวตามหน้าหนังสือพิมพ์มากมาย มิหนำซ้ำการต้มตุ๋นครั้งนี้ยังถูกเปิดเผยเพราะผู้ก่อการสารภาพเองอีกต่างหาก โดยที่หน่วยงานของอเมริกาไม่สามารถตามกลิ่นของเขาได้เลย ชื่อของนักต้มตุ๋นฝีมือเยี่ยมผู้นี้คือ เบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์ (Bernard Madoff)


 

2. การต้มตุ๋นครั้งประวัติศาสตร์ของนายเบอร์นาร์ด Bernard 

 

 

บริษัท Bernard Securities ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1960 โดยเริ่มต้นจากการเป็นบริษัทซื้อขายหุ้นราคาถูก ซึ่งในเวลาต่อมามีการแข่งขันกับบริษัทที่เป็นสมาชิกของตลาดหุ้นนิวยอร์ค จึงมีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน และระบบนี้ก็มีการพัฒนาต่อยอดมาจนกลายเป็น NASDAQ (ตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอเมริกา) ซึ่งบริษัท Bernard Securities ก็เป็นบริษัทหนึ่งในตลาดหุ้น NASDAQ นี้ด้วย

ในการต้มตุ๋นของนายเบอร์นาร์ดนี้มีกลยุทธ์ที่ซับซ้อนมากมาย และแนบเนียนกว่ามาก โดยในการลงทุนนั้นผู้ลงทุนจะไม่ได้เงินปันผลที่มากและรวดเร็วเกินจริงอย่างนายชาร์ล พอนซี  แต่เป็นเงินปันผลในระดับที่ไม่ผิดธรรมชาติ คือประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งเขาจงใจให้เงินปันผลในระดับที่ใกล้เคียงกับ S&P 500 เพื่อปกปิดร่องรอยของเขานั่นเอง (S&P 500 คือรายชื่อบริษัทสำคัญในอเมริกา 500 บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา มีลักษณะคล้าย Set 50 และ Set 100 ในไทย) และยังใช้เทคนิคมากมายเพื่อปกปิดร่องรอยเพิ่มเติม เช่น เขาจะขายหุ้นทั้งหมด เพื่อให้มีการรายงานเฉพาะจำนวนเงินในธุรกิจไปยังหน่วยงานรัฐ นักลงทุนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลการลงทุนได้ด้วยตัวเอง แต่จะได้รับจดหมายแจ้งข้อมูลทางการเงินและเงินปันผลเท่านั้น

นอกจากนี้ เขายังเลือกเป้าหมายอย่างรัดกุม โดยนักลงทุนนั้นมีทั้งกองทุน มูลนิธิ ธนาคาร นักลงทุนทั่วไป รวมไปจนถึงคนดังอย่างเควิน เบคอน และสตีเวน สปีลเบิร์ก แต่จุดหนึ่งที่เหมือนกัน คือเป็นนักลงทุนชั้นดี จากการที่เขาเลือกเป้าหมายอย่างเข้มงวด ทำให้นักลงทุนไม่ค่อยอยากจะถอนเงินออกจากระบบของเขา เพราะกลัวว่าจะกลับเข้าไปใหม่ไม่ได้อีก

 

แผนการของ นายเบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์

 

นายเบอร์นาร์ดสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจของเขาได้โดยการเตรียมเงินให้ทันที เมื่อลูกค้าของเขาต้องการถอนเงิน  ซึ่งเมื่อมีการถอนเงินได้ตามที่ต้องการตลอดเวลา แถมเงินปันผลที่ได้ก็ไม่ผิดปกติ ลูกค้าของเขาจึงไม่มีเหตุผลใด ๆ ให้ระแวงเลย แม้จะมีข้อสงสัยว่าธุรกิจของเขาไม่น่าจะจ่ายเงินปันผลได้สูงเท่าที่เขาทำ แต่หน่วยงานตรวจสอบของสหรัฐ (SEC) ก็ไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง นอกจากนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นที่ไว้วางใจก็คือ ตัวเขาเองที่เป็นนักการเงินอาวุโสที่มีฝีมือมาก รวมถึงเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมก่อตั้ง NASDAQ นั่นเอง

 

จุดเด่นที่สุดในการต้มตุ๋นของเขา คือการก่อตั้งบริษัทในปี 1960 โดยก่อนหน้านั้นมีการทำงานอยู่จริง จนในการไต่สวนคดีเมื่อปี 2008 เขาจึงสารภาพว่าบริษัทของเขาไม่ได้ซื้อขายหุ้นจริง ๆ มาตั้งแต่ช่วงปี 1990 แล้ว แต่ชื่อเสียงที่มีมานาน รวมถึงการปฏิบัติงานจริงที่เคยมี ก็ทำให้หลุดพ้นจากข้อสงสัยได้เป็นอย่างดี นักลงทุนและหน่วยงานตรวจสอบต้องคิดไม่ถึงแน่ ว่าบริษัทที่ตั้งมาแล้วกว่า 30 ปี อยู่ ๆ ก็จะเลิกทำงาน ไปทำการต้มตุ๋นแทน ซึ่งจุดนี้แตกต่างจากการต้มตุ๋นแบบพอนซีที่มีมาก่อน คือจากแบบเดิมที่ชักชวนให้ทำการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีจริง ธุรกิจของนายมาดอฟนั้น “มีจริง” แต่ไม่ได้ทำงานจริง (อีกต่อไป) แม้ว่าจะมีจุดผิดสังเกตอยู่บ้าง เช่นการจ่ายเงินปันผลคงที่อย่างผิดปกติ ในขณะที่เงินปันผลตามปกติจะเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะเงินในตลาด แต่ก็สามารถรอดพ้นจากหูตาของเจ้าหน้าที่รัฐไปได้

 

จุดจบ ของ นายเบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์

 

แต่จุดจบของการต้มตุ๋นครั้งนี้ก็มาถึงในปี 2008 เมื่อเกิดปัญหาทางการเงินทั่วประเทศในอเมริกา ภาวะถดถอยของตลาดการเงิน ทำให้นักลงทุนต้องการถอนเงินออกจากธุรกิจของเขาถึง 7พันล้านดอลลาร์ เขาจึงจำเป็นต้องหานักลงทุนรายใหม่เพื่อนำเงินมาจ่าย ซึ่งรวมถึงเพื่อนเก่าของเขาอย่าง Carl J. Shapiro ด้วย แต่ถึงแม้จะพยายามอย่างมาก ธุรกิจต้มตุ๋นของเขาก็มาถึงจุดจบเนื่องจากไม่สามารถหาเงินมาจ่ายนักลงทุนรายเก่าได้นั่นเอง

ซึ่งเมื่อเขาเห็นจุดจบ เขาก็ทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการจ่ายโบนัสให้พนักงานในบริษัทของเขาถึง 170 ล้านดอลลาร์ จากเงิน 200 ล้านดอลลาร์ที่บริษัทมีอยู่ในขณะนั้น ทำให้ลูกชายทั้ง 2 คนของเขาต้องถามว่า ทั้ง ๆ ที่บริษัทไม่มีเงินจะจ่ายให้นักลงทุน ทำไมถึงสั่งจ่ายโบนัสจำนวนมหาศาลอย่างนี้ และทำให้ตัวนายเบอร์นาร์ดสารภาพกับลูกชายของเขาเอง ว่าทั้งหมดเป็นเพียง “การโกหกครั้งใหญ่”

และนายเบอร์นาร์ดก็ถูกจับกุมในปีนั้น โดยผู้ที่แจ้งความก็คือลูกชายทั้ง 2 คนของเขานั่นเอง ประเมินความเสียหายในการต้มตุ๋นของเขาแล้ว มีมูลค่าถึง 65,000 ล้านดอลลาร์ มีผู้เสียหายเป็นมูลนิธิ ธนาคาร กองทุนจากทั่วโลกมากมาย มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยกว่า 3 รายฆ่าตัวตาย รวมถึงลูกชายคนโตของเขาด้วย จัดเป็นการต้มตุ๋นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก และเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาอีกด้วย ส่วนตัวนายเบอร์นาร์ดนั้นถูกพิพากษาจำคุก 150 ปี มากที่สุดเท่าที่กฏหมายของสหรัฐกำหนดไว้

 

จากกรณีของนายเบอร์นาร์ด จะเห็นได้ว่าการต้มตุ๋นรูปแบบพอนซีนั้นไม่ได้จำกัดวงอยู่เพียงยุคเก่าเท่านั้น แม้แต่ในตลาดหุ้นหรือยุคอินเตอร์เน็ตที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดายก็ยังไม่รอดพ้นไปได้เช่นกัน หากไม่เกิดภาวะถดถอยทางการเงินจนมีการถอนเงินเป็นจำนวนมาก การต้มตุ๋นครั้งนี้อาจไม่ถูกเปิดเผยเลยก็เป็นได้

ต่อไปจะขอเล่าถึงกลยุทธ์แบบพอนซีที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยบ้าง โดยคดีนี้มีผู้เสียหายนับหมื่นคน และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการบัญญัติพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนปี พ.ศ.2527 อีกด้วย ชื่อของคดีนี้คือ “คดีแม่ชม้อย” ที่มีการต้มตุ๋นในช่วงปี 2520 – 2528 นั่นเอง


 

3. คดีแม่ชม้อยในตำนาน

 

แม่ชม้อย หรือนางชม้อย ทิพย์โส ได้เริ่มต้นการต้มตุ๋นครั้งนี้ในปี 2520 โดยตัวแม่ชม้อยนั้นได้รับการชักชวนจากเพื่อนที่ทำการค้าน้ำมันอยู่ก่อน คือ นายประสิทธิ์ จิตต์ที่พึ่ง ให้ร่วมลงทุนค้าน้ำมัน ซึ่งเมื่อทำแล้วได้กำไรจริง แม่ชม้อยจึงเริ่มชักชวนผู้อื่นให้เข้ามาทำธุรกิจนี้ด้วย แม่ชม้อยได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมา มีชื่อว่า “ปิโตรเลียม แอนด์ มารีน เซอร์วิส จำกัด” โดยหน้าฉากกล่าวว่าทำธุรกิจการค้าน้ำมันทุกชนิด ทั้งในและนอกประเทศ

 

จุดเริ่มต้น นางชม้อย ทิพย์โส – แม่ชม้อย

 

แม่ชม้อยได้เริ่มชักชวนให้ผู้คนร่วมลงทุนในธุรกิจนี้ โดยรับกู้ยืมเงินในลักษณะคิดเป็นคันรถบรรทุก คันละ 160,500 บาท และจะได้กำไร 12,000 บาทต่อเดือน (6.5%) เมื่อครบปี ผู้ลงทุนจะได้กำไรถึง 78% ของเงินต้น  ในเดือนธันวาคมของทุกปีจะหักกำไรไว้ร้อยละ 4 เพื่อจ่ายค่าภาษีการค้า และยังมีการคิดเงินเป็นล้อสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยอีกด้วย โดยแบ่งเป็น 1 ใน 4 ของราคา 1 คันรถบรรทุก แม่ชม้อยจ่ายเงินดอกเบี้ยอย่างตรงเวลา และหากต้องการถอนก็สามารถถอนได้ ทำให้สามารถหลอกลวงได้อย่างแนบเนียน นอกจากนี้ตัวแม่ชม้อยเองก็ยังทำงานในการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จึงทำให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งในช่วงเวลาระหว่างการต้มตุ๋นนี้มีนักลงทุนถูกหลอกกว่าหมื่นราย และมีเงินหมุนเวียนในระบบถึงกว่า 10,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การต้มตุ๋นครั้งนี้ก็มีจุดจบเช่นเดียวกับครั้งอื่น ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต คือเริ่มต้นจากความผิดปกตินั่นเอง ธุรกิจแม่ชม้อยถูกตรวจสอบโดยกรมสรรพากร และพบว่ามีบัญชีธนาคารอยู่ 2 บัญชี คือบัญชีออมทรัพย์และกระแสรายวัน และได้ทำสัญญาเอาไว้ว่า ให้โอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ไปยังบัญชีกระแสรายวัน เมื่อมีการสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินออกจากบัญชีกระแสรายวัน จากการตรวจสอบรายรับรายจ่ายเพิ่มเติมก็พบว่าตัวแม่ชม้อยนั้นไม่ได้ทำธุรกิจอะไรที่น่าจะทำให้จ่ายดอกเบี้ยได้ในอัตราสูงถึงขนาดนั้น  การที่แม่ชม้อยสามารถจ่ายได้ก็โดยการใช้กลยุทธ์แบบพอนซีนั่นเอง โดยการนำเงินลงทุนจากนักลงทุนหน้าใหม่ไปจ่ายให้กับนักลงทุนเก่า และจุดจบก็มาถึงในรูปแบบมาตรฐาน คือเมื่อไม่มีนักลงทุนหน้าใหม่ ก็จะไม่มีเงินดอกเบี้ยจะจ่าย เมื่อเงินที่มีอยู่เดิมหมดก็จะไม่มีจ่ายอีกต่อไป

เมื่อมีการตรวจสอบ นักลงทุนก็เริ่มระแวง ในช่วงปี 2527 – 2528 นั้นธุรกิจต้มตุ๋นนี้ก็จบสิ้นลง เนื่องจากมีนักลงทุนต้องการถอนเงินเป็นจำนวนมาก ทำให้แม่ชม้อยไม่สามารถจ่ายเงินได้ทัน จึงประกาศของดจ่ายเงินชั่วคราว และหอบเงินที่ยังมีเหลือหลบหนีกลับบ้านเกิดของตน ในที่สุดเมื่อนักลงทุนไม่ได้เงินคืนตามที่แม่ชม้อยสัญญา จึงมีการร้องทุกข์ไปยังกองปราบปราม และนำไปสู่การขุดคุ้ย รวมถึงจับกุมนางชม้อยในที่สุด รวมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการต้มตุ๋นครั้งนี้มีมากถึง 4,000 ล้านบาท ตัวนางชม้อยและพรรคพวกนั้นถูกพิพากษาจำคุก 20 ปี แต่ก็ได้รับการผ่อนผันโทษ และออกจากคุกในปี 2536

จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์แบบพอนซีนั้น จุดเด่นที่สุดคือ “สนับสนุนให้ลงทุน” โดยที่ผู้ลงทุนไม่ต้องทำอะไร เพียงนำเงินมาฝากไว้ ก็จะได้เงินปันผลไปแบบสบาย ๆ ซึ่งในการต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นก็จะมีลักษณะคล้ายกันกับกลยุทธ์แบบพอนซี แต่แตกต่างกันตรงผู้ที่ชักชวนให้เข้าทำธุรกิจ รวมถึงบทบาทของสมาชิกนั่นเอง

การต้มตุ๋นแบบปิรามิด (Pyramid Scheme)

 

การต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่มีการใช้งานค่อนข้างบ่อย โดยลักษณะเด่นจะมีลักษณะคล้ายกับการขายตรงอย่างมาก โดยแบบปิรามิดนั้นจะมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ

 

     1. สมาชิกรุ่นแรกจะไปชักชวนให้สมาชิกใหม่ร่วมกันลงทุน และให้สมาชิกใหม่นั้นไปหาสมาชิกอีกต่อหนึ่งไปเรื่อย ๆ ในรูปแบบนี้จะเป็นเพียงการร่วมลงทุนเท่านั้น โดยไม่มีสินค้ามาขายแต่อย่างใด เรียกว่า “ปิรามิดเปลือย” (Naked Pyramid)

   2. สมาชิกรุ่นแรกจะได้เงินจากการขาย “ชุดเริ่มต้น” (Starter kit) และได้เงินมากขึ้นเมื่อดาวน์ไลน์ขายชุดเริ่มต้นให้กับผู้อื่นต่อ โดยผู้ชักชวนนั้นไม่จำเป็นต้องขายสินค้าเพื่อให้ได้กำไร ซึ่งธุรกิจรูปแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเพื่อขายสินค้าที่ไม่น่าสนใจ หรือได้กำไรน้อย จึงต้องหารายได้หลักจากการขายชุดเริ่มต้นแทน

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจประเภทนี้ก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อทุก ๆ คนต้องการขายสินค้า (ที่ไม่น่าสนใจ) ให้กับคนอื่น ๆ และไม่มีใครเหลือให้ชักชวนมาเป็นดาวน์ไลน์ได้อีก

 

ในความเป็นจริงแล้ว การต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นจะไม่สามารถทำกำไรได้เลย หากดาวน์ไลน์ชั้นล่างไม่ขาดทุน ซึ่งจุดที่ผิดกฏหมายนั้นก็มาจากการทำธุรกิจที่ต้องมีคนจำนวนมากขาดทุน เพื่อให้คนจำนวนน้อยได้กำไรนั่นเอง เพราะธุรกิจแบบปิรามิดจะไม่สามารถเติบโตได้ในระดับที่เพียงพอต่อการทำให้สมาชิกทั้งหมดได้กำไร หากสมมติให้สมาชิก 1 คนต้องหาดาวน์ไลน์ให้ได้ 8 คน สมาชิกในชั้นที่ 8 จะต้องหาดาวน์ไลน์ถึง 1.5 ล้านคน และอีกเพียงไม่กี่ชั้นก็จะเกินจำนวนประชากรบนโลก ซึ่งสมาชิกชั้นล่างนี้เองจะเป็นผู้ที่ขาดทุน เพื่อให้สมาชิกในชั้นบนได้กำไร (ซื้อชุดเริ่มต้นไปแล้วแต่ไม่มีใครให้ขายต่อเพื่อเอากำไร)

 

                ในการต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นแม้จะมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกับแบบพอนซี คือต้องหาสมาชิกใหม่เพื่อให้สมาชิกรุ่นแรกมีกำไร แต่มีความแตกต่างกัน คือ ในกลยุทธ์แบบพอนซีนั้นผู้ที่จะจัดหาสมาชิกใหม่คือเจ้าของบริษัทเพียงคนเดียว ในขณะที่กลยุทธ์แบบปิรามิด สมาชิกแต่ละคนจะเป็นฝ่ายไปตามหาสมาชิกใหม่ด้วยตนเอง

 

จำนวนดาวน์ไลน์ที่จำเป็นต่อการต้มตุ๋นแบบปิรามิด กรณีสมาชิก 1 คนหาดาวน์ไลน์ 6 คน

 

แล้วแตกต่างจากการขายตรง (MLM) อย่างไร?

 

การขายตรง (MLM – Multi Level Marketing) คือ รูปแบบการทำธุรกิจประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกลยุทธ์แบบปิรามิดมาก โดยบริษัทในไทยที่เรารู้จักกันดีนั้นก็มี Amway และ Herbalife เป็นต้น โดยบริษัทแรกที่ทำการตลาดรูปแบบนี้ก็คือ Amway นั่นเอง สมาชิกจะทำการขายสินค้าให้กับผู้อื่น รวมไปถึงชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิกขายตรง เพื่อให้ได้กำไร

หากดูเผิน ๆ จะเห็นว่าดูคล้ายกับการต้มตุ๋น คือมีการหาดาวน์ไลน์ และสร้างกำไรจากการมีลูกทีมจำนวนมากได้ แต่ในปี 1979 ก็มีการประกาศว่าการทำธุรกิจรูปแบบนี้ไม่ผิดกฏหมายแต่อย่างใด จึงทำให้มีบริษัทอื่นมากมายทำธุรกิจเลียนแบบ Amway ซึ่งจุดแตกต่างระหว่างการขายตรง กับการต้มตุ๋นแบบปิรามิดก็ คือ

1.การขายตรงไม่ให้เงินแก่สมาชิก เพียงเพราะหาสมาชิกใหม่ได้

2.การจะมีรายได้ในธุรกิจขายตรงได้ มีเพียงขายสินค้าให้กับผู้บริโภค หรือบริหารทีมขายเท่านั้น โดยหัวหน้าทีมจะได้เปอร์เซ็นต์จากการขายของลูกทีมด้วย (ยังไงก็ต้องขายสินค้าถึงจะได้เงิน)

3.การขายตรงจะไม่มีการบังคับให้ซื้อชุดเริ่มต้นเพื่อเป็นสมาชิก หรือต้องจ่ายเงินค่าสมาชิก

4.การขายตรงจะเน้นการขายสินค้า ไม่ใช่การหาสมาชิกเพิ่ม

ในการธุรกิจรูปแบบนี้ สมาชิกชั้นล่างไม่จำเป็นต้องขาดทุนเพื่อให้ชั้นบนได้กำไร เพราะหากไม่ขายก็จะไม่ได้เงิน และถึงแม้จะไม่หาดาวน์ไลน์ก็ไม่มีผลกระทบ เพราะสามารถซื้อใช้เองก็ได้ ซึ่งรายได้ที่ได้จากการซื้อสินค้าใช้เองก็จะกลายเป็นส่วนลดสำหรับสมาชิกไป

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นการต้มตุ๋นหรือการลงทุนอย่างสุจริต?

 

การจะแยกการต้มตุ๋นออกจากการลงทุนอย่างสุจริตเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เช่นในกรณีของนายเบอร์นาร์ดนั้นแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญหรือกองทุนข้ามชาติก็ยังหลงกลได้จากการวางแผนและการปกปิดอย่างแนบเนียน โดยมากมักจะลงมืออย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ในการระมัดระวังตัวจากการต้มตุ๋นก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น

1.ระมัดระวังการลงทุนที่จำกัดเวลา เหล่านักต้มตุ๋นมักจะทำการเสนอข้อเสนอที่ดูดีให้ ซึ่งพร้อมกันนั้นก็จะกดดันเพิ่มด้วยการบอกว่า “เป็นข้อเสนอที่มีในช่วงเวลานี้เท่านั้น” เพื่อไม่ให้สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันเวลา

2.ระมัดระวังการลงทุนที่ดูดีเกินจริง ไม่มีการลงทุนใดในโลกนี้ที่ไม่มีความเสี่ยง การบอกว่า “ไม่มีความเสี่ยง” “มีแต่ได้” หรือการเสนอเงินตอบแทนที่สูงผิดปกติ ล้วนแต่เป็นสัญญาณเตือนว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล

3.เอาใจใส่การลงทุน ดังที่เห็นในกรณีของนายเบอร์นาร์ด การต้มตุ๋นไม่จำเป็นต้องเสนอผลตอบแทนที่ดูดีเสมอไป เพียงแค่ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือก็มากเพียงพอ จุดสังเกตเดียวที่พอจะเห็นได้ก็คือการจ่ายเงินปันผลที่คงที่และตรงเวลาอย่างผิดธรรมชาติเท่านั้น จำไว้ว่าเงินที่ได้จากการลงทุนจะแปรปรวนตามสภาพตลาดการเงินในขณะนั้น

4.ใส่ใจข้อมูล  หากเป็นนักต้มตุ๋นที่มีฝีมือ การหาข้อมูลอาจจะช่วยไม่ได้มากนัก แต่ก็ยังช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่าการกระโดดเข้าหาโอกาสที่ดูดีทันทีโดยไม่คิดอะไรเลย

5.ลงทุนในหลายธุรกิจ อย่าลงทุนลงในธุรกิจเดียวด้วยเงินทั้งหมด เผื่อเส้นทางสำหรับหนีไว้ด้วยการลงทุนในหลายธุรกิจ และลงทุนในธุรกิจที่ไว้ใจได้ด้วย เพื่อไม่ให้สิ้นเนื้อประดาตัวหากตกเป็นเหยื่อของการต้มตุ๋น

6.ตรวจสอบให้ดีว่าธุรกิจนั้นขายสินค้า หรือให้หาสมาชิกใหม่ หากได้เงินจากการหาดาวน์ไลน์แทนที่จะขายสินค้า แสดงว่านั่นคือการต้มตุ๋น

7.ระวังการเข้าเป็นสมาชิกของการทำธุรกิจใด ๆ การต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นมักจะคิดค่าเข้าเป็นสมาชิกจำนวนมาก รวมไปถึงค่าฝึกฝนการขาย ค่าชุดเริ่มต้น และค่าสมาชิกรายปี

การลงทุนมีความเสียง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนในทรัพย์สิน ตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง




credit: http://amonjou.blogspot.com, http://money.howstuffworks.com/pyramid-scheme.htmhttp://money.howstuffworks.com/ponzi-scheme.htm