3 คดีดังแชร์ลูกโซ่ ล่าเหยื่อ“คนอยากรวย” (รู้ทันการต้มตุ๋นทางการลงทุน)

3 คดีดังแชร์ลูกโซ่ ล่าเหยื่อ“คนอยากรวย” (รู้ทันการต้มตุ๋นทางการลงทุน)

หลาย ๆ ครั้งเราคงได้พบกับเพื่อนสนิทสักคนที่ชอบมาแนะนำการลงทุนที่ดีให้กับเรา ทั้งการบอกว่านี่เป็นโอกาสที่จะสร้างอนาคตให้ตัวเอง หรือแม้แต่บอกว่าต้องการแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับเรา และหลายครั้งอีกเช่นกันที่เรามักจะเผลอเชื่อใจคนสนิทและลงทุนไปกับการลงทุนที่ “ดูท่าทาง” จะไปได้สวย บางธุรกิจนั้นดูดีและน่าเชื่อถือจริง ๆ แถมยังมีคนดัง ผู้เชี่ยวชาญร่วมลงทุนในโครงการนี้ไปอีกตั้งเยอะ ในเมื่อคนที่มีความรู้มากกว่าเรายังลงทุนไปกับโครงการนี้ แล้วทำไมเราถึงไม่ลงทุนตามเขาไป ดูยังไงโอกาสกำไรก็เห็นอยู่ชัด ๆ

 

ซึ่งทุกครั้งการต้มตุ๋นทางการเงินเองก็มีจุดประสงค์ให้เราเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ เพื่อจะทำการหลอกลวงเงินจากผู้ลงทุนจำนวนมากมาย ก่อนที่จะเชิดเงินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตา (กับความซวยและหนี้) ของนักลงทุนที่ไม่ใส่ใจกับการลงทุนของตนเอง โดยการต้มตุ๋นเหล่านี้หลายครั้งสามารถลอยนวลอยู่ได้นับสิบปี และกวาดเงินไปได้หลายพันล้านเลยทีเดียว

 

 วันนี้จะขอเล่าถึงการต้มตุ๋นทางการลงทุน รูปแบบที่เคยส่งผลกระทบต่อผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็คือ กลยุทธ์ต้มตุ๋นแบบพอนซี (Ponzi’s Scheme) และ แบบปิรามิด (Pyramid Scheme) นั่นเอง พร้อมทั้ง 3 คดีดัง ที่ยังคงเป็นที่กล่าวถึงในปัจจุบัน

 

1. กลยุทธ์ต้มตุ๋นแบบพอนซี Ponzi’s Scheme

 

กลยุทธ์ต้มตุ๋นแบบ Ponzi’s Scheme คืออะไร?

 

หากต้องการพูดแบบสั้น ๆ กลยุทธ์แบบ Ponzi นั้นมีรูปแบบการทำงานที่ง่ายดายมาก นั่นคือ ผู้ทำการต้มตุ๋นจะหลอกนักลงทุนด้วยผลประโยชน์หรือเงินปันผลที่ดูดีเกินจริง เพื่อหลอกให้มีคนลงทุนจำนวนมาก จากนั้นจึงเอาเงินลงทุนที่ได้จากสมาชิกใหม่มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับสมาชิกรุ่นเก่าไปเรื่อย ๆ นั่นเอง

โดยธุรกิจประเภทนี้จัดเป็นการต้มตุ๋น เนื่องจากเงินลงทุนนั้นไม่ได้นำไปลงทุนจริง ๆ แต่เป็นเพียงการรวมเงินไว้ และจ่ายเงินปันผลเท่านั้น เมื่อการต้มตุ๋นประเภทนี้สิ้นสุดลง ไม่ว่าจะด้วยการตรวจสอบ หรือจากการไม่มีผู้ลงทุนรายใหม่ (โดนหลอกกันเรียบร้อยทั้งบ้านทั้งเมือง) ก็ตาม จะพบว่ามีผู้ที่ได้กำไรจำนวนน้อย (สมาชิกรุ่นแรก) และมีผู้ที่ซวย (แมงเม่าที่เข้ามาทีหลัง) จำนวนมาก

ซึ่งชื่อของการต้มตุ๋นนี้ก็มาจากชื่อของ นายชาร์ล พอนซี (Charles Ponzi) นักต้มตุ๋นชาวอิตาเลียน-อเมริกัน ผู้นำกลยุทธ์นี้มาใช้สร้างความล่มจมให้ผู้คนจำนวนมากในอเมริกาในช่วงปี 1920 นั่นเอง

 

นาย Charles Ponzi เป็นใคร?

 

ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ปี 1903 ชายอิตาเลียนคนหนึ่งได้เดินทางมาถึงอเมริกาเพื่อหางานทำและชีวิตใหม่ โดยการมาถึงของชายผู้นี้ไม่มีสิ่งใดติดตัว นอกจากเงินเพียง 2.5 ดอลลาร์เท่านั้น เนื่องจากการพนันในการเดินเรือได้ดูดเอาเงินเก็บของเขาไปจนหมด (การพนันไม่ทำให้ใครรวย ยกเว้นเจ้ามือ?) เป็นเวลาหลายปีที่ชายผู้นี้ต้องทำงานต่าง ๆ ในเมือง ทั้งการเป็นเด็กล้างจาน  ได้เลื่อนชั้นเป็นบริกร แต่ก็ถูกไล่ออกอย่างรวดเร็วเพราะไปโกงเงินทอนลูกค้าและขโมยของ ทำงานในธนาคารที่มอนทรีออล แต่ก็ก่อเรื่องปลอมเช็ค กลับมาที่อเมริกา แต่แล้วก็ไปก่อเรื่องลักลอบนำเข้าแรงงานอิตาลีอีก จนต้องไปนอนคุกอยู่หลายครั้ง

 

ในเวลาต่อมาเขาก็ได้กลับมาที่บอสตัน และได้แต่งงานกับหญิงผู้หนึ่งชื่อโรส มาเรีย ผู้ได้ออกทุนทำธุรกิจให้กับเขา แต่ก็ล่มจมในเวลาไม่นานนัก หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ เขาก็ได้รับ จดหมายจากบริษัทสเปน ซึ่งในซองนั้นคือ “วิมัยบัตร” (International Reply Coupon – IRC) นั่นเอง จากการตรวจสอบข้อมูลเล็กน้อย เขาก็มองเห็นช่องโหว่ของสินค้าชนิดนี้ ที่อาจจะทำเงินให้กับเขาได้

การต้มตุ๋นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในอเมริกา กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว….

 

วิมัยบัตร (IRC) คืออะไร

 

ในช่วงปี 1920 นั้นโลกยังไม่มีอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่โทรศัพท์อย่างในปัจจุบัน วิธีการติดต่อที่เป็นที่นิยมที่สุดก็คือการส่งจดหมาย แต่การส่งจดหมายไปหาญาติพี่น้องหรือเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศนั้นก็อาจจะเป็นการสร้างภาระให้กับผู้ตอบได้เช่นกัน เพราะการตอบจดหมายก็จำเป็นต้องใช้เงิน (ซึ่งอาจจะแพงกว่า ขึ้นอยู่กับประเทศ) ในการตอบกลับ ดังนั้นสินค้าที่มีชื่อว่า International Reply Coupon หรือ IRC จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1906 โดยสินค้าชนิดนี้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับจดหมายข้ามประเทศทั่วไป เพียงแต่มูลค่าของคูปองนี้ได้รวม “ค่าส่งจดหมายตอบกลับมายังผู้ส่ง” ไว้แล้ว ทำให้ผู้รับจดหมายสามารถส่งจดหมายตอบกลับได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายนั่นเอง

 

วิมัยบัตร (International Reply Coupon – IRC)

 

จุดบอดของสินค้าชนิดนี้ก็คือ ในขณะที่นายชาร์ลค้นพบนั้น คูปอง IRC ในอิตาลีมีราคาถูกกว่าในอเมริกามาก เนื่องมาจากเงินเฟ้อที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นายชาร์ลจึงออกแบบธุรกิจลงทุนชนิดหนึ่งขึ้น โดยเขาจะซื้อคูปอง IRC ในประเทศที่มีราคาถูก และนำกลับมาขายในอเมริกาในราคาแพงกว่า และส่วนต่างนั้นก็คือกำไร ซึ่งเขาบอกว่าส่วนต่างนั้นทำให้มีกำไรมากถึง 400% อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในทางทฤษฎีแล้วการทำธุรกิจรูปแบบนี้สามารถสร้างกำไรได้ แต่ในการทำจริงนั้นไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะค่าใช้จ่ายในการขนส่ง รวมถึงระยะเวลาในการขนส่งนั้นทำให้ไม่สามารถทำจริงได้ แต่ถึงแม้จะทำจริงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่นายชาร์ลต้องการไม่ใช่ธุรกิจ ….แต่เป็นการหลอกลวง แค่มัน “เป็นไปได้” ก็มากเกินพอ

 

จุดเริ่มต้นของ “การลงทุน”

 

หลังจากการค้นพบ IRC และหนทางทำกำไรจากมันได้ไม่นาน นายชาร์ลก็เริ่มต้นการลงุทนของเขา โดยเริ่มจากการชักชวนเพื่อนให้ร่วมลงทุนในธุรกิจที่ “กำลังเกิดใหม่” โดยสัญญาว่าจะเพิ่มเงินลงทุนให้ 50% ภายใน 3 เดือน ซึ่งผู้ลงทุนรุ่นแรกก็ได้เงินตามที่สัญญาไว้ คือได้กำไรถึง 750 ดอลลาร์ จากเงินลงทุน 1,250 ดอลลาร์

จากนั้นไม่นานเขาก็ตั้งบริษัทของตัวเอง และมีนักลงทุนเพิ่มขึ้นไม่ขาดสาย และยังได้จ้างนายหน้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้อย่างงาม ภายในเวลาไม่ถึงปีก็มีเงินลงทุนในธุรกิจของนายชาร์ลนับล้านดอลลาร์ นักลงทุนมากมายนำเงินเก็บทั้งชีวิตเข้าลงทุน บางคนถึงกับจำนองบ้านเพื่อนำเงินมาลงทุนเลยทีเดียว นอกจากนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถอนเงินออกมา แต่นำเงินที่ได้เพิ่มมานั้นลงทุนกลับเข้าไปอีก จึงเห็นได้ว่าในความเป็นจริงแล้วเงินในระบบแทบจะไม่ได้ถูกจ่ายเป็นเงินปันผลเลย และในกรณีที่มีคนถอนเงินออก นายชาร์ลก็เพียงแต่นำเงินจากนักลงทุนหน้าใหม่จ่ายเป็นเงินปันผลให้ไปเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจใด ๆ เลย

อย่างไรก็ตาม นายชาร์ลก็ไม่ใช่นักต้มตุ๋นที่รอบคอบมากนัก เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟู่ฟ่า ทั้งการซื้อบ้านในเล็กซิงตัน พร้อมเครื่องปรับอากาศและสระว่ายน้ำ (ซึ่ง “โคตรหรู” ในสมัยนั้น และอาจจะสมัยนี้ด้วย) และออกเงินพาแม่ของเขามายังอเมริกาอย่างหรูหราที่สุด

 

จุดจบของ “การต้มตุ๋น”

 

แน่นอนว่าธุรกิจที่ “ผิดธรรมชาติ” ของนายชาร์ลทำให้มีผู้ที่ระแวงเขาเป็นจำนวนมาก นักเขียนในบอสตันคนหนึ่งได้เขียนถึงนายชาร์ลว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถปันผลได้ในเวลาที่รวดเร็วขนาดนั้น ซึ่งก็ทำให้นักเขียนผู้นี้ถูกฟ้อง และเสียค่าปรับถึง 500,000 ดอลลาร์ให้นายชาร์ล แต่ก็ได้ทำให้นักลงทุนบางคนถอนตัวไป แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นานจะมีการเขียนบทความหนึ่งลงในหนังสือพิมพ์ Boston Post

โดยกล่าวว่าธุรกิจของนายชาร์ลนั้นจ่ายเงินปันผลได้ถึง 50% ในเวลาเพียง 45 วัน ในขณะที่ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยได้เพียง 5% ต่อปีเท่านั้น หนึ่งวันหลังจากบทความถูกตีพิมพ์ ก็มีนักลงทุนนับพันต้องการลงทุนในธุรกิจของนายชาร์ล แต่ในวันที่บทความถูกตีพิมพ์นั้น นายชาร์ลก็ต้องเข้าพบกับเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลที่ต้องการจะตรวจสอบบัญชี ซึ่งเขาก็สามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบไปได้โดยการเสนอว่าจะหยุดรับเงินลงทุนเพิ่มในระหว่างที่มีการตรวจสอบ ทำให้การตรวจสอบชะงักไปพักหนึ่ง เนื่องจากเขาไม่เคยบันทึกบัญชีเอาไว้ (เพราะเป็นการต้มตุ๋น)

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานทางหนังสือพิมพ์ก็เริ่มขุดคุ้ยเรื่องการทำธุรกิจนี้ โดยมีการว่าจ้างนักวิเคราะห์ด้านการเงิน Clarence Barron โดยได้กล่าวว่า การทำธุรกิจของนายชาร์ลนั้นจ่ายเงินปันผลจำนวนมากภายในเวลาที่เร็วอย่างเหลือเชื่อ แต่ตัวนายชาร์ลเองนั้นกลับไม่ลงทุนในธุรกิจของตนเอง และการลงดาบขั้นสุดท้ายก็คือ การกล่าวว่า หากธุรกิจของนายชาร์ลทำงานอยู่จริงตามที่อ้าง จะต้องมีคูปอง IRC ถูกใช้อยู่ในปัจจุบันถึง 160 ล้านใบ ในขณะที่มีการใช้จริงเพียง 27,000 ใบเท่านั้น การวิเคราะห์นี้ทำให้เกิดความแตกตื่นขึ้นอย่างมาก โดยนายชาร์ลต้องจ่ายเงินให้นักลงทุนถึง 2 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเพียง 3 วันเท่านั้น

หลังจากนั้นธุรกิจก็ถูกตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่จากรัฐแมสซาชูเซตต์ต้องตรวจสอบบัญชีของบริษัทอย่างยากลำบาก เพราะบัญชีของบริษัทไม่มีอะไรเลยนอกจากชื่อของนักลงทุน (เพราะไม่ได้ทำธุรกิจจริง) ในระหว่างนั้นนายชาร์ลก็ได้จ้างเอเย่นต์ผู้หนึ่งเพื่อปิดข่าว แต่การว่าจ้างนี้กลับทำให้เรื่องเลวร้ายยิ่งขึ้น เพราะเอเย่นต์รายนี้ กลับยิ่งสงสัยในตัวธุรกิจนี้

ในปลายเดือนกรกฎาคมปี 1920 เขาก็ได้ค้นพบเอกสารหลายฉบับที่บ่งชี้ว่าธุรกิจของนายชาร์ลนั้นน่าจะเป็นเพียงการนำเงินของคนหนึ่งมาจ่ายให้กับนักลงทุนอีกคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเรื่องอื้อฉาวนี้ก็นำไปสู่การตรวจสอบหนี้สิน บัญชีธนาคารของนายชาร์ล และจุดสิ้นสุดของการต้มตุ๋นครั้งนี้ในวันที่ 11 สิงหาคม 1920 นั่นเอง

ซึ่งจากการวิเคราะห์ พบว่าการต้มตุ๋นครั้งนี้หลอกเงินจากนักลงทุนไปได้ถึง 20 ล้านดอลลาร์ โดยสามารถเทียบเป็นเงินในปัจจุบันได้ประมาณ 225 ล้านดอลลาร์

 

แม้จะดูเหมือนว่าการต้มตุ๋นของนายชาร์ลเมื่อปี 1920 นั้นน่าจะดูออกได้ง่าย เพราะการจ่ายเงินที่เกินจริง หรือแม้แต่การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายของเจ้าตัวก็ตาม แต่ก็มีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมาก แล้วถ้ามีการทำให้แนบเนียนยิ่งขึ้นล่ะจะเป็นอย่างไร?

 

ต่อไปจะขอแนะนำนักต้มตุ๋นอีกคนหนึ่งที่ใช้กลยุทธ์แบบเดียวกันนี้ แต่สามารถทำเงินได้มากกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด และที่สำคัญยังเป็นการต้มตุ๋นในยุคปัจจุบันเสียด้วย โดยการต้มตุ๋นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์นี้ถูกเปิดเผยในปี 2008 รวมระยะเวลาในการต้มตุ๋นทั้งหมดกว่า 13 ปี และเป็นเรื่องราวตามหน้าหนังสือพิมพ์มากมาย มิหนำซ้ำการต้มตุ๋นครั้งนี้ยังถูกเปิดเผยเพราะผู้ก่อการสารภาพเองอีกต่างหาก โดยที่หน่วยงานของอเมริกาไม่สามารถตามกลิ่นของเขาได้เลย ชื่อของนักต้มตุ๋นฝีมือเยี่ยมผู้นี้คือ เบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์ (Bernard Madoff)


 

2. การต้มตุ๋นครั้งประวัติศาสตร์ของนายเบอร์นาร์ด Bernard 

 

 

บริษัท Bernard Securities ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1960 โดยเริ่มต้นจากการเป็นบริษัทซื้อขายหุ้นราคาถูก ซึ่งในเวลาต่อมามีการแข่งขันกับบริษัทที่เป็นสมาชิกของตลาดหุ้นนิวยอร์ค จึงมีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน และระบบนี้ก็มีการพัฒนาต่อยอดมาจนกลายเป็น NASDAQ (ตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอเมริกา) ซึ่งบริษัท Bernard Securities ก็เป็นบริษัทหนึ่งในตลาดหุ้น NASDAQ นี้ด้วย

ในการต้มตุ๋นของนายเบอร์นาร์ดนี้มีกลยุทธ์ที่ซับซ้อนมากมาย และแนบเนียนกว่ามาก โดยในการลงทุนนั้นผู้ลงทุนจะไม่ได้เงินปันผลที่มากและรวดเร็วเกินจริงอย่างนายชาร์ล พอนซี  แต่เป็นเงินปันผลในระดับที่ไม่ผิดธรรมชาติ คือประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งเขาจงใจให้เงินปันผลในระดับที่ใกล้เคียงกับ S&P 500 เพื่อปกปิดร่องรอยของเขานั่นเอง (S&P 500 คือรายชื่อบริษัทสำคัญในอเมริกา 500 บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา มีลักษณะคล้าย Set 50 และ Set 100 ในไทย) และยังใช้เทคนิคมากมายเพื่อปกปิดร่องรอยเพิ่มเติม เช่น เขาจะขายหุ้นทั้งหมด เพื่อให้มีการรายงานเฉพาะจำนวนเงินในธุรกิจไปยังหน่วยงานรัฐ นักลงทุนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลการลงทุนได้ด้วยตัวเอง แต่จะได้รับจดหมายแจ้งข้อมูลทางการเงินและเงินปันผลเท่านั้น

นอกจากนี้ เขายังเลือกเป้าหมายอย่างรัดกุม โดยนักลงทุนนั้นมีทั้งกองทุน มูลนิธิ ธนาคาร นักลงทุนทั่วไป รวมไปจนถึงคนดังอย่างเควิน เบคอน และสตีเวน สปีลเบิร์ก แต่จุดหนึ่งที่เหมือนกัน คือเป็นนักลงทุนชั้นดี จากการที่เขาเลือกเป้าหมายอย่างเข้มงวด ทำให้นักลงทุนไม่ค่อยอยากจะถอนเงินออกจากระบบของเขา เพราะกลัวว่าจะกลับเข้าไปใหม่ไม่ได้อีก

 

แผนการของ นายเบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์

 

นายเบอร์นาร์ดสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจของเขาได้โดยการเตรียมเงินให้ทันที เมื่อลูกค้าของเขาต้องการถอนเงิน  ซึ่งเมื่อมีการถอนเงินได้ตามที่ต้องการตลอดเวลา แถมเงินปันผลที่ได้ก็ไม่ผิดปกติ ลูกค้าของเขาจึงไม่มีเหตุผลใด ๆ ให้ระแวงเลย แม้จะมีข้อสงสัยว่าธุรกิจของเขาไม่น่าจะจ่ายเงินปันผลได้สูงเท่าที่เขาทำ แต่หน่วยงานตรวจสอบของสหรัฐ (SEC) ก็ไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง นอกจากนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นที่ไว้วางใจก็คือ ตัวเขาเองที่เป็นนักการเงินอาวุโสที่มีฝีมือมาก รวมถึงเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมก่อตั้ง NASDAQ นั่นเอง

 

จุดเด่นที่สุดในการต้มตุ๋นของเขา คือการก่อตั้งบริษัทในปี 1960 โดยก่อนหน้านั้นมีการทำงานอยู่จริง จนในการไต่สวนคดีเมื่อปี 2008 เขาจึงสารภาพว่าบริษัทของเขาไม่ได้ซื้อขายหุ้นจริง ๆ มาตั้งแต่ช่วงปี 1990 แล้ว แต่ชื่อเสียงที่มีมานาน รวมถึงการปฏิบัติงานจริงที่เคยมี ก็ทำให้หลุดพ้นจากข้อสงสัยได้เป็นอย่างดี นักลงทุนและหน่วยงานตรวจสอบต้องคิดไม่ถึงแน่ ว่าบริษัทที่ตั้งมาแล้วกว่า 30 ปี อยู่ ๆ ก็จะเลิกทำงาน ไปทำการต้มตุ๋นแทน ซึ่งจุดนี้แตกต่างจากการต้มตุ๋นแบบพอนซีที่มีมาก่อน คือจากแบบเดิมที่ชักชวนให้ทำการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีจริง ธุรกิจของนายมาดอฟนั้น “มีจริง” แต่ไม่ได้ทำงานจริง (อีกต่อไป) แม้ว่าจะมีจุดผิดสังเกตอยู่บ้าง เช่นการจ่ายเงินปันผลคงที่อย่างผิดปกติ ในขณะที่เงินปันผลตามปกติจะเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะเงินในตลาด แต่ก็สามารถรอดพ้นจากหูตาของเจ้าหน้าที่รัฐไปได้

 

จุดจบ ของ นายเบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์

 

แต่จุดจบของการต้มตุ๋นครั้งนี้ก็มาถึงในปี 2008 เมื่อเกิดปัญหาทางการเงินทั่วประเทศในอเมริกา ภาวะถดถอยของตลาดการเงิน ทำให้นักลงทุนต้องการถอนเงินออกจากธุรกิจของเขาถึง 7พันล้านดอลลาร์ เขาจึงจำเป็นต้องหานักลงทุนรายใหม่เพื่อนำเงินมาจ่าย ซึ่งรวมถึงเพื่อนเก่าของเขาอย่าง Carl J. Shapiro ด้วย แต่ถึงแม้จะพยายามอย่างมาก ธุรกิจต้มตุ๋นของเขาก็มาถึงจุดจบเนื่องจากไม่สามารถหาเงินมาจ่ายนักลงทุนรายเก่าได้นั่นเอง

ซึ่งเมื่อเขาเห็นจุดจบ เขาก็ทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการจ่ายโบนัสให้พนักงานในบริษัทของเขาถึง 170 ล้านดอลลาร์ จากเงิน 200 ล้านดอลลาร์ที่บริษัทมีอยู่ในขณะนั้น ทำให้ลูกชายทั้ง 2 คนของเขาต้องถามว่า ทั้ง ๆ ที่บริษัทไม่มีเงินจะจ่ายให้นักลงทุน ทำไมถึงสั่งจ่ายโบนัสจำนวนมหาศาลอย่างนี้ และทำให้ตัวนายเบอร์นาร์ดสารภาพกับลูกชายของเขาเอง ว่าทั้งหมดเป็นเพียง “การโกหกครั้งใหญ่”

และนายเบอร์นาร์ดก็ถูกจับกุมในปีนั้น โดยผู้ที่แจ้งความก็คือลูกชายทั้ง 2 คนของเขานั่นเอง ประเมินความเสียหายในการต้มตุ๋นของเขาแล้ว มีมูลค่าถึง 65,000 ล้านดอลลาร์ มีผู้เสียหายเป็นมูลนิธิ ธนาคาร กองทุนจากทั่วโลกมากมาย มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยกว่า 3 รายฆ่าตัวตาย รวมถึงลูกชายคนโตของเขาด้วย จัดเป็นการต้มตุ๋นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก และเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาอีกด้วย ส่วนตัวนายเบอร์นาร์ดนั้นถูกพิพากษาจำคุก 150 ปี มากที่สุดเท่าที่กฏหมายของสหรัฐกำหนดไว้

 

จากกรณีของนายเบอร์นาร์ด จะเห็นได้ว่าการต้มตุ๋นรูปแบบพอนซีนั้นไม่ได้จำกัดวงอยู่เพียงยุคเก่าเท่านั้น แม้แต่ในตลาดหุ้นหรือยุคอินเตอร์เน็ตที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดายก็ยังไม่รอดพ้นไปได้เช่นกัน หากไม่เกิดภาวะถดถอยทางการเงินจนมีการถอนเงินเป็นจำนวนมาก การต้มตุ๋นครั้งนี้อาจไม่ถูกเปิดเผยเลยก็เป็นได้

ต่อไปจะขอเล่าถึงกลยุทธ์แบบพอนซีที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยบ้าง โดยคดีนี้มีผู้เสียหายนับหมื่นคน และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการบัญญัติพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนปี พ.ศ.2527 อีกด้วย ชื่อของคดีนี้คือ “คดีแม่ชม้อย” ที่มีการต้มตุ๋นในช่วงปี 2520 – 2528 นั่นเอง


 

3. คดีแม่ชม้อยในตำนาน

 

แม่ชม้อย หรือนางชม้อย ทิพย์โส ได้เริ่มต้นการต้มตุ๋นครั้งนี้ในปี 2520 โดยตัวแม่ชม้อยนั้นได้รับการชักชวนจากเพื่อนที่ทำการค้าน้ำมันอยู่ก่อน คือ นายประสิทธิ์ จิตต์ที่พึ่ง ให้ร่วมลงทุนค้าน้ำมัน ซึ่งเมื่อทำแล้วได้กำไรจริง แม่ชม้อยจึงเริ่มชักชวนผู้อื่นให้เข้ามาทำธุรกิจนี้ด้วย แม่ชม้อยได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมา มีชื่อว่า “ปิโตรเลียม แอนด์ มารีน เซอร์วิส จำกัด” โดยหน้าฉากกล่าวว่าทำธุรกิจการค้าน้ำมันทุกชนิด ทั้งในและนอกประเทศ

 

จุดเริ่มต้น นางชม้อย ทิพย์โส – แม่ชม้อย

 

แม่ชม้อยได้เริ่มชักชวนให้ผู้คนร่วมลงทุนในธุรกิจนี้ โดยรับกู้ยืมเงินในลักษณะคิดเป็นคันรถบรรทุก คันละ 160,500 บาท และจะได้กำไร 12,000 บาทต่อเดือน (6.5%) เมื่อครบปี ผู้ลงทุนจะได้กำไรถึง 78% ของเงินต้น  ในเดือนธันวาคมของทุกปีจะหักกำไรไว้ร้อยละ 4 เพื่อจ่ายค่าภาษีการค้า และยังมีการคิดเงินเป็นล้อสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยอีกด้วย โดยแบ่งเป็น 1 ใน 4 ของราคา 1 คันรถบรรทุก แม่ชม้อยจ่ายเงินดอกเบี้ยอย่างตรงเวลา และหากต้องการถอนก็สามารถถอนได้ ทำให้สามารถหลอกลวงได้อย่างแนบเนียน นอกจากนี้ตัวแม่ชม้อยเองก็ยังทำงานในการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จึงทำให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งในช่วงเวลาระหว่างการต้มตุ๋นนี้มีนักลงทุนถูกหลอกกว่าหมื่นราย และมีเงินหมุนเวียนในระบบถึงกว่า 10,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การต้มตุ๋นครั้งนี้ก็มีจุดจบเช่นเดียวกับครั้งอื่น ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต คือเริ่มต้นจากความผิดปกตินั่นเอง ธุรกิจแม่ชม้อยถูกตรวจสอบโดยกรมสรรพากร และพบว่ามีบัญชีธนาคารอยู่ 2 บัญชี คือบัญชีออมทรัพย์และกระแสรายวัน และได้ทำสัญญาเอาไว้ว่า ให้โอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ไปยังบัญชีกระแสรายวัน เมื่อมีการสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินออกจากบัญชีกระแสรายวัน จากการตรวจสอบรายรับรายจ่ายเพิ่มเติมก็พบว่าตัวแม่ชม้อยนั้นไม่ได้ทำธุรกิจอะไรที่น่าจะทำให้จ่ายดอกเบี้ยได้ในอัตราสูงถึงขนาดนั้น  การที่แม่ชม้อยสามารถจ่ายได้ก็โดยการใช้กลยุทธ์แบบพอนซีนั่นเอง โดยการนำเงินลงทุนจากนักลงทุนหน้าใหม่ไปจ่ายให้กับนักลงทุนเก่า และจุดจบก็มาถึงในรูปแบบมาตรฐาน คือเมื่อไม่มีนักลงทุนหน้าใหม่ ก็จะไม่มีเงินดอกเบี้ยจะจ่าย เมื่อเงินที่มีอยู่เดิมหมดก็จะไม่มีจ่ายอีกต่อไป

เมื่อมีการตรวจสอบ นักลงทุนก็เริ่มระแวง ในช่วงปี 2527 – 2528 นั้นธุรกิจต้มตุ๋นนี้ก็จบสิ้นลง เนื่องจากมีนักลงทุนต้องการถอนเงินเป็นจำนวนมาก ทำให้แม่ชม้อยไม่สามารถจ่ายเงินได้ทัน จึงประกาศของดจ่ายเงินชั่วคราว และหอบเงินที่ยังมีเหลือหลบหนีกลับบ้านเกิดของตน ในที่สุดเมื่อนักลงทุนไม่ได้เงินคืนตามที่แม่ชม้อยสัญญา จึงมีการร้องทุกข์ไปยังกองปราบปราม และนำไปสู่การขุดคุ้ย รวมถึงจับกุมนางชม้อยในที่สุด รวมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการต้มตุ๋นครั้งนี้มีมากถึง 4,000 ล้านบาท ตัวนางชม้อยและพรรคพวกนั้นถูกพิพากษาจำคุก 20 ปี แต่ก็ได้รับการผ่อนผันโทษ และออกจากคุกในปี 2536

จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์แบบพอนซีนั้น จุดเด่นที่สุดคือ “สนับสนุนให้ลงทุน” โดยที่ผู้ลงทุนไม่ต้องทำอะไร เพียงนำเงินมาฝากไว้ ก็จะได้เงินปันผลไปแบบสบาย ๆ ซึ่งในการต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นก็จะมีลักษณะคล้ายกันกับกลยุทธ์แบบพอนซี แต่แตกต่างกันตรงผู้ที่ชักชวนให้เข้าทำธุรกิจ รวมถึงบทบาทของสมาชิกนั่นเอง

การต้มตุ๋นแบบปิรามิด (Pyramid Scheme)

 

การต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่มีการใช้งานค่อนข้างบ่อย โดยลักษณะเด่นจะมีลักษณะคล้ายกับการขายตรงอย่างมาก โดยแบบปิรามิดนั้นจะมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ

 

     1. สมาชิกรุ่นแรกจะไปชักชวนให้สมาชิกใหม่ร่วมกันลงทุน และให้สมาชิกใหม่นั้นไปหาสมาชิกอีกต่อหนึ่งไปเรื่อย ๆ ในรูปแบบนี้จะเป็นเพียงการร่วมลงทุนเท่านั้น โดยไม่มีสินค้ามาขายแต่อย่างใด เรียกว่า “ปิรามิดเปลือย” (Naked Pyramid)

   2. สมาชิกรุ่นแรกจะได้เงินจากการขาย “ชุดเริ่มต้น” (Starter kit) และได้เงินมากขึ้นเมื่อดาวน์ไลน์ขายชุดเริ่มต้นให้กับผู้อื่นต่อ โดยผู้ชักชวนนั้นไม่จำเป็นต้องขายสินค้าเพื่อให้ได้กำไร ซึ่งธุรกิจรูปแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเพื่อขายสินค้าที่ไม่น่าสนใจ หรือได้กำไรน้อย จึงต้องหารายได้หลักจากการขายชุดเริ่มต้นแทน

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจประเภทนี้ก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อทุก ๆ คนต้องการขายสินค้า (ที่ไม่น่าสนใจ) ให้กับคนอื่น ๆ และไม่มีใครเหลือให้ชักชวนมาเป็นดาวน์ไลน์ได้อีก

 

ในความเป็นจริงแล้ว การต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นจะไม่สามารถทำกำไรได้เลย หากดาวน์ไลน์ชั้นล่างไม่ขาดทุน ซึ่งจุดที่ผิดกฏหมายนั้นก็มาจากการทำธุรกิจที่ต้องมีคนจำนวนมากขาดทุน เพื่อให้คนจำนวนน้อยได้กำไรนั่นเอง เพราะธุรกิจแบบปิรามิดจะไม่สามารถเติบโตได้ในระดับที่เพียงพอต่อการทำให้สมาชิกทั้งหมดได้กำไร หากสมมติให้สมาชิก 1 คนต้องหาดาวน์ไลน์ให้ได้ 8 คน สมาชิกในชั้นที่ 8 จะต้องหาดาวน์ไลน์ถึง 1.5 ล้านคน และอีกเพียงไม่กี่ชั้นก็จะเกินจำนวนประชากรบนโลก ซึ่งสมาชิกชั้นล่างนี้เองจะเป็นผู้ที่ขาดทุน เพื่อให้สมาชิกในชั้นบนได้กำไร (ซื้อชุดเริ่มต้นไปแล้วแต่ไม่มีใครให้ขายต่อเพื่อเอากำไร)

 

                ในการต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นแม้จะมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกับแบบพอนซี คือต้องหาสมาชิกใหม่เพื่อให้สมาชิกรุ่นแรกมีกำไร แต่มีความแตกต่างกัน คือ ในกลยุทธ์แบบพอนซีนั้นผู้ที่จะจัดหาสมาชิกใหม่คือเจ้าของบริษัทเพียงคนเดียว ในขณะที่กลยุทธ์แบบปิรามิด สมาชิกแต่ละคนจะเป็นฝ่ายไปตามหาสมาชิกใหม่ด้วยตนเอง

 

จำนวนดาวน์ไลน์ที่จำเป็นต่อการต้มตุ๋นแบบปิรามิด กรณีสมาชิก 1 คนหาดาวน์ไลน์ 6 คน

 

แล้วแตกต่างจากการขายตรง (MLM) อย่างไร?

 

การขายตรง (MLM – Multi Level Marketing) คือ รูปแบบการทำธุรกิจประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกลยุทธ์แบบปิรามิดมาก โดยบริษัทในไทยที่เรารู้จักกันดีนั้นก็มี Amway และ Herbalife เป็นต้น โดยบริษัทแรกที่ทำการตลาดรูปแบบนี้ก็คือ Amway นั่นเอง สมาชิกจะทำการขายสินค้าให้กับผู้อื่น รวมไปถึงชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิกขายตรง เพื่อให้ได้กำไร

หากดูเผิน ๆ จะเห็นว่าดูคล้ายกับการต้มตุ๋น คือมีการหาดาวน์ไลน์ และสร้างกำไรจากการมีลูกทีมจำนวนมากได้ แต่ในปี 1979 ก็มีการประกาศว่าการทำธุรกิจรูปแบบนี้ไม่ผิดกฏหมายแต่อย่างใด จึงทำให้มีบริษัทอื่นมากมายทำธุรกิจเลียนแบบ Amway ซึ่งจุดแตกต่างระหว่างการขายตรง กับการต้มตุ๋นแบบปิรามิดก็ คือ

1.การขายตรงไม่ให้เงินแก่สมาชิก เพียงเพราะหาสมาชิกใหม่ได้

2.การจะมีรายได้ในธุรกิจขายตรงได้ มีเพียงขายสินค้าให้กับผู้บริโภค หรือบริหารทีมขายเท่านั้น โดยหัวหน้าทีมจะได้เปอร์เซ็นต์จากการขายของลูกทีมด้วย (ยังไงก็ต้องขายสินค้าถึงจะได้เงิน)

3.การขายตรงจะไม่มีการบังคับให้ซื้อชุดเริ่มต้นเพื่อเป็นสมาชิก หรือต้องจ่ายเงินค่าสมาชิก

4.การขายตรงจะเน้นการขายสินค้า ไม่ใช่การหาสมาชิกเพิ่ม

ในการธุรกิจรูปแบบนี้ สมาชิกชั้นล่างไม่จำเป็นต้องขาดทุนเพื่อให้ชั้นบนได้กำไร เพราะหากไม่ขายก็จะไม่ได้เงิน และถึงแม้จะไม่หาดาวน์ไลน์ก็ไม่มีผลกระทบ เพราะสามารถซื้อใช้เองก็ได้ ซึ่งรายได้ที่ได้จากการซื้อสินค้าใช้เองก็จะกลายเป็นส่วนลดสำหรับสมาชิกไป

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นการต้มตุ๋นหรือการลงทุนอย่างสุจริต?

 

การจะแยกการต้มตุ๋นออกจากการลงทุนอย่างสุจริตเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เช่นในกรณีของนายเบอร์นาร์ดนั้นแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญหรือกองทุนข้ามชาติก็ยังหลงกลได้จากการวางแผนและการปกปิดอย่างแนบเนียน โดยมากมักจะลงมืออย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ในการระมัดระวังตัวจากการต้มตุ๋นก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น

1.ระมัดระวังการลงทุนที่จำกัดเวลา เหล่านักต้มตุ๋นมักจะทำการเสนอข้อเสนอที่ดูดีให้ ซึ่งพร้อมกันนั้นก็จะกดดันเพิ่มด้วยการบอกว่า “เป็นข้อเสนอที่มีในช่วงเวลานี้เท่านั้น” เพื่อไม่ให้สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันเวลา

2.ระมัดระวังการลงทุนที่ดูดีเกินจริง ไม่มีการลงทุนใดในโลกนี้ที่ไม่มีความเสี่ยง การบอกว่า “ไม่มีความเสี่ยง” “มีแต่ได้” หรือการเสนอเงินตอบแทนที่สูงผิดปกติ ล้วนแต่เป็นสัญญาณเตือนว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล

3.เอาใจใส่การลงทุน ดังที่เห็นในกรณีของนายเบอร์นาร์ด การต้มตุ๋นไม่จำเป็นต้องเสนอผลตอบแทนที่ดูดีเสมอไป เพียงแค่ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือก็มากเพียงพอ จุดสังเกตเดียวที่พอจะเห็นได้ก็คือการจ่ายเงินปันผลที่คงที่และตรงเวลาอย่างผิดธรรมชาติเท่านั้น จำไว้ว่าเงินที่ได้จากการลงทุนจะแปรปรวนตามสภาพตลาดการเงินในขณะนั้น

4.ใส่ใจข้อมูล  หากเป็นนักต้มตุ๋นที่มีฝีมือ การหาข้อมูลอาจจะช่วยไม่ได้มากนัก แต่ก็ยังช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่าการกระโดดเข้าหาโอกาสที่ดูดีทันทีโดยไม่คิดอะไรเลย

5.ลงทุนในหลายธุรกิจ อย่าลงทุนลงในธุรกิจเดียวด้วยเงินทั้งหมด เผื่อเส้นทางสำหรับหนีไว้ด้วยการลงทุนในหลายธุรกิจ และลงทุนในธุรกิจที่ไว้ใจได้ด้วย เพื่อไม่ให้สิ้นเนื้อประดาตัวหากตกเป็นเหยื่อของการต้มตุ๋น

6.ตรวจสอบให้ดีว่าธุรกิจนั้นขายสินค้า หรือให้หาสมาชิกใหม่ หากได้เงินจากการหาดาวน์ไลน์แทนที่จะขายสินค้า แสดงว่านั่นคือการต้มตุ๋น

7.ระวังการเข้าเป็นสมาชิกของการทำธุรกิจใด ๆ การต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นมักจะคิดค่าเข้าเป็นสมาชิกจำนวนมาก รวมไปถึงค่าฝึกฝนการขาย ค่าชุดเริ่มต้น และค่าสมาชิกรายปี

การลงทุนมีความเสียง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนในทรัพย์สิน ตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง




credit: http://amonjou.blogspot.com, http://money.howstuffworks.com/pyramid-scheme.htmhttp://money.howstuffworks.com/ponzi-scheme.htm