แม้ว่าในปี 2024 ภาวะเงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัวลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังอยู่ในระดับสูง การออมเงินในธนาคารเพียงอย่างเดียวจึงดูจะไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่ เพราะดอกเบี้ยที่ได้นั้นน้อยนิดจนหลายคนบอกว่า การฝากเงินไว้ในธนาคารก็ดีกว่าการเอาเงินใส่ไหฝังดินหน่อยเดียวเท่านั้น การมองหาช่องทางในการลงทุนรูปแบบอื่นๆ จึงดูจะเป็นทางออกที่ดีมากกว่า ซึ่งตัวเลือกที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้ก็คงหนีไม่พ้น “คริปโตเคอเรนซี” หรือสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ต้องทำการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนกันบนเว็บเทรดคริปโต วันนี้เราจึงจะมาแนะนำวิธีการเลือกเว็บเทรดฉบับมือใหม่ พร้อมแนะนำเว็บ เทรดคริปโต ที่น่าสนใจปี 2024 จะมีเว็บไหนบ้าง ตามไปดูกัน !
เราได้รวบรวม 5 เว็บเทรดคริปโต ที่น่าเชื่อถือ ปี 2024 ฝาก ถอนเงินบาทได้สะดวก ได้รับการรับรองจาก กลต
เว็บไชต์ | ข้อมูลบริษัท | วอลุ่มซื้อขาย | ค่าธรรมเนียมเทรด | ค่าธรรมเนียมถอน |
---|---|---|---|---|
BinanceTH | เป็นการร่วมทุนระหว่าง Gulf Energy Development (ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย) และ Binance.com มีระบบ Support เป็น Crypto Exchange อันดับ 1 ของโลก หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Binance Thailand ได้ที่นี่ | To be update | คู่เหรียญ THB จะไม่เสียค่าธรรมเนียม | 20 บาทต่อครั้ง |
Bitkub | Crypto Exchange อันดับ 1 ของประเทศไทย ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 90 – 95% หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Bitkub ได้ที่นี่ | 56 ล้านดอลลาร์ | 0.25% | 20 บาทต่อครั้ง |
Bitazza | นอกจากเป็น Exchange แล้ว ยังมีบริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของโบรกเกอร์ และเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ได้การรับรองจาก ก.ล.ต. หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Bitazza ได้ที่นี่ | 11 ล้านดอลลาร์ | 0.25% | 20 บาทต่อครั้ง |
innovestX | แอปพลิเคชันด้านการลงทุนโดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เปิดบัญชีลงทุนครั้งเดียว ลงทุนได้หลายสินทรัพย์ หาข้อมูลเพิ่มเติมของ innovestX ได้ที่นี่ | 6 ล้านดอลลาร์ | 0.20% | 20 บาทต่อครั้ง SCB ถอนฟรี |
Orbix | ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้ร่วมทุนรายใหญ่ มีระบบช่วยคำนวณต้นทุนเหรียญแบบอัตโนมัติ เช็กผลกำไรขาดทุนได้แบบเรียลไทม์ หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Orbix ได้ที่นี่ | 2แสน ดอลลาร์ | 0.25% | 20 บาทต่อครั้ง |
**ควรสมัครไว้หลายๆเว็บเทรด เพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะเวลาเอาเงินเข้า เงินออกจะได้ใช้อันไหนก็ได้ที่สะดวกและเรทดีตอนนั้น
1. Binance TH
Binance TH by Gulf Binance เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่งเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเมื่อช่วงต้นปี 2024 ที่ผ่านมา โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัทย่อยของ Gulf Energy Development ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลัก และบริษัท Binance Capital Management ในเครือ Binance ที่หลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าเว็บ Binance Global ยังไม่ได้การรับรองจาก ก.ล.ต. ในขณะที่ Binance TH ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต. เรียบร้อยแล้ว จึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
ข้อดี | ข้อด้อย |
---|---|
+ Binance TH ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต. + น่าเชื่อถือ เพราะร่วมทุนกับ Gulf Energy ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย + รองรับภาษาไทย ทำให้ใช้งานง่าย + เทรดได้ 110 คู่เหรียญ + เทรดคู่เหรียญบาท THB จะไม่เสียค่าธรรมเนียม | – เป็นเว็บเทรดน้องใหม่ ยังมีปริมาณการซื้อขายไม่มาก – Functions ของ Binance TH จะน้อยกว่าฝั่ง Global โดยจะไม่มีพวก Staking หรือการเทรด Future, Option เป็นต้น |
2. Bitkub
Bitkub ถือเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับ 1 ของประเทศไทย ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2018 ภายใต้การบริหารของคนรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เป็นเจ้าแรกที่ให้บริการเทรดผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือทั้งในระบบ Android และ iOS จึงสามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีทีมงานที่พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน ส่งผลให้ Bitkub เป็นเว็บเทรดคริปโตที่มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้สูงถึง 90 – 95% ระบบการเทรดใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน แม้แต่มือใหม่ก็ใช้งานได้สะดวก
ข้อดี | ข้อด้อย |
---|---|
+ เป็นเว็บเทรดอันดับ 1 ในประเทศไทย + บริหารโดยทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ + ระบบการเทรดง่าย ไม่ซับซ้อน + เทรดได้ 100 คู่เหรียญ | – สามารถเทรด Spot ได้อย่างเดียวเท่านั้น – ค่าธรรมเนียมแพง 0.25% ต่อครั้ง – บางช่วงระบบไม่เสถียร ทำให้ตอนตลาดเกิดความผันผวนรุนแรง ระบบจะค้างได้ |
3. Bitazza
Bitazza เป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ได้การรับรองจาก ก.ล.ต. แต่รูปแบบการให้บริการจะแตกต่างจากแพลตฟอร์ม Exchange โดย Bitazza จะให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของโบรกเกอร์ หรือนายหน้า จึงสามารถส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าไปยังศูนย์ซื้อขาย (Exchange) ทั่วโลกได้แบบเรียลไทม์ ทำให้มีสภาพคล่องสูง มีคู่เหรียญที่หลากหลาย สามารถซื้อขายเหรียญด้วยสกุลเงินบาทได้ หากมีปัญหาในการใช้งานก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ข้อดี | ข้อด้อย |
---|---|
+ เป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ได้การรับรองจาก ก.ล.ต. + การฝากหรือถอนก็ทำได้อย่างรวดเร็ว + คู่เหรียญที่หลากหลาย เทรดได้ 100 คู่ เหรียญ +มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม รวมถึงระบบ KYC และใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยจากบริษัทชั้นนำอย่าง Ledger ดีไซน์ | – สามารถเทรด Spot ได้อย่างเดียวเท่านั้น – ค่าธรรมเนียมแพง 0.25% ต่อครั้ง |
4. innovestX
มาต่อกันที่แอปพลิเคชันด้านการลงทุนที่ครบครันสุดๆ อย่าง innovestX ซึ่งมีบริษัท SCBx เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จุดเด่นคือรูปแบบการใช้งานที่ง่ายสำหรับมือใหม่ โดยมีเทคโนโลยีอัจฉริยะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนให้อัตโนมัติ หรือสามารถเลือกแผนการลงทุนที่ต้องการ เช่น ลงทุนตามกูรูชั้นนำ ลงทุนตามเมกะเทรนด์ทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้นยังรวมสินทรัพย์หลายประเภทไว้ในที่เดียว จึงสามารถเทรดคริปโตไปพร้อมกับการลงทุนในหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน หรือตราสารหนี้ได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องลงทะเบียนซ้ำๆ ช่วยกระจายความเสี่ยง ทำให้มองเห็นภาพรวมของการลงทุน และบริหารจัดการพอร์ตได้ดียิ่งขึ้น
ข้อดี | ข้อด้อย |
---|---|
+ มีรูปแบบการใช้งานที่ง่ายต่อการเข้าใช้งาน ทำให้เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับการลงทุน + มีเทคโนโลยีอัจฉริยะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนให้อัตโนมัติ + สามารถในการเทรดหลากหลายสินทรัพย์ + มีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูง. | – ค่าธรรมเนียมแพง 0.20% ต่อครั้ง – อาจมีข้อกำจัดในการถอนเงิน – บางคนอาจพบว่าระบบของ innovestX มีความซับซ้อนมากเกินไป |
5. Orbix
อีกหนึ่งเว็บเทรดคริปโตน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่เป็นที่น่าจับตามองอย่างมากก็คือ Orbix เพราะเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท ยูนิต้า แคปิทัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย โดยทำการเทคโอเวอร์มาจากเว็บเทรด Satang Pro ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2017 จึงมีการปรับโฉมครั้งใหญ่ และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะ เพื่อยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เช่น Price Alert ที่นักเทรดสามารถตั้งเตือนราคาเหรียญได้ จึงไม่ต้องเสียเวลาเฝ้าจอ และ Orbix Balance ที่ช่วยคำนวณต้นทุนเหรียญแบบอัตโนมัติ เช็กผลกำไรขาดทุนได้แบบเรียลไทม์
ข้อดี | ข้อด้อย |
---|---|
+เป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย ทำให้มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักในวงการการเงิน + มีการปรับโฉมจากเว็บเทรด Satang Pro ทำให้ Orbix มีฐานผู้ใช้ที่มั่นคง + มีฟีเจอร์ Price Alert ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถตั้งเตือนราคาเหรียญได้ | – เป็นเว็บเทรดน้องใหม่ ยังมีปริมาณการซื้อขายไม่มาก – ค่าธรรมเนียมแพง 0.25% ต่อครั้ง |
อัปเดตเว็บ เทรดคริปโต ในไทยที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ปี 2024
เพื่อให้นักลงทุนมีทางเลือกในการเทรดที่หลากหลาย เราจึงได้รวบรวมเว็บเทรดคริปโตที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. มาฝาก ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 10 ราย เปิดให้บริการ 8 ราย ถูกระงับ 1 รายและยังไม่เปิดให้บริการอีก 1 ราย
ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กลต
- ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange)
- บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด (GULF BINANCE)
- บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (INVX)
- บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BITKUB)
- บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด (ORBIX TRADE)
- บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด (TDX)
- บริษัท จีเอ็มโอ-แซด.คอม คริปโทนอมิคซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Z.COMEX)
- บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด (UPBIT)
- บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (ZIPMEX) **ถูกระงับการให้บริการ จาก กลต ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567
- บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด (ERX)
- บริษัท วาฬ เอ็กเชนจ์ จำกัด (WAANX) **ยังไม่เปิดให้บริการ
ส่วนผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของนายหน้า หรือโบรกเกอร์ ปัจจุบันมีทั้งหมด 12 ราย เปิดให้บริการ 10 ราย ถูกระงับ 1 รายและยังไม่เปิดให้บริการอีก 2 ราย
ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กลต
ข้อมูลข่าวจาก https://www.thaipbs.or.th/news
วิธีเลือกเว็บเทรดคริปโต ต้องดูอะไรบ้าง ?
- ความน่าเชื่อถือ
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกในการเลือกเว็บเทรดคริปโตก็คือ ความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ จึงควรศึกษาข้อมูลให้ดีว่าเจ้าของเป็นใคร เปิดให้บริการมานานหรือยัง อ่านรีวิวหรือประสบการณ์ของผู้ใช้งานคนอื่นๆ หรือง่ายๆ เลยก็คือเลือกเว็บเทรดคริปโตที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่า หากเกิดปัญหานักลงทุนก็ยังได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
- ความเสถียรของระบบ
การเทรดคริปโตต้องอาศัยจังหวะเวลา ลองคิดภาพตามดูว่า เมื่อมูลค่าของเหรียญอยู่ในช่วงราคาที่เราต้องการ แต่กลับกดซื้อไม่ได้ ฝากเงินไม่ได้ กว่าระบบจะกลับมาทำงานเป็นปกติราคาก็อาจจะสูงกว่าเดิมไปเยอะแล้ว ทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะฉะนั้นเว็บเทรดคริปโตที่ดีจึงต้องมีระบบที่เสถียร และอย่าลืมศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฝาก-ถอนเงินด้วย เช่น ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ หรือมีขั้นต่ำเท่าไหร่ เป็นต้น
- ความปลอดภัย
เว็บเทรดคริปโตมีโอกาสถูกโจมตีจากแฮ็กเกอร์ได้ เพราะฉะนั้นจึงควรตรวจเช็กระบบรักษาความปลอดภัยของเว็บว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เคยถูกแฮ็กหรือเปล่า มีระบบป้องกันการแฮ็กหรือโจรกรรมข้อมูลอย่างไรบ้าง เช่น มีระบบยืนยันตน 2 ชั้น (Two-factor Authentication), มีการเข้ารหัส SSL (https) เป็นต้น
- ค่าธรรมเนียมต่ำ
เทรดมาตั้งนาน ทำไมกำไรน้อยจัง ? หลายคนมีคำถามแบบนี้ เพราะลืมสังเกตว่าเว็บเทรดคริปโตที่ใช้บริการนั้นคิดค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ โดยปกติแล้วแต่ละเว็บจะคิดค่าธรรมเนียมในการซื้อขายต่อครั้ง ในอัตราที่แตกต่างกันออกไป เฉลี่ยประมาณ 0.05% – 0.25% และยังอาจมีค่าธรรมเนียมในการฝากถอนเหรียญด้วย
- จำนวนเหรียญ
จริงอยู่ที่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะเทรดเหรียญยอดนิยม ซึ่งเหรียญเหล่านี้ก็มีแทบทุกเว็บ แต่การเลือกเว็บที่มีเหรียญหลากหลาย ก็เหมือนเป็นการเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นยิ่งมีเหรียญให้เทรดเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ไม่แน่ว่าในอนาคตเหรียญเหล่านั้นอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวก็เป็นได้
- สภาพคล่อง
เว็บเทรดคริปโตที่มีสภาพคล่องสูง หรือมีผู้ใช้งานจำนวนมาก ย่อมดีกว่าเว็บที่ผู้ใช้งานน้อย เพราะเมื่อจำนวนนักเทรดมากขึ้น จะซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ก็ทำได้ง่ายกว่า ความคลาดเคลื่อนระหว่างราคาที่คาดหวังกับราคาซื้อขายจริง (Slippage) ก็จะต่ำลงด้วย โดยสังเกตได้ง่ายๆ จาก Volume หรือปริมาณการซื้อขายบนกระดานเทรดในแต่ละวัน
- ฟังก์ชันการใช้งาน
เว็บเทรดคริปโตของแต่ละที่มีการออกแบบดีไซน์หน้าตาของเว็บไซต์ และ UI/UX รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานไม่เหมือนกัน จะเลือกเว็บไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคล แต่โดยรวมแล้วการออกแบบควรมีความเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน สีสันสบายตา ตัวอักษรอ่านง่าย และมีฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเทรดได้มากขึ้น เช่น มีฟังก์ชันแจ้งเตือนราคา, มีอินดิเคเตอร์หลากหลาย, มีฟังก์ชันช่วยบริหารพอร์ต เป็นต้น
- ติดต่อง่าย
ระหว่างการใช้งานเว็บเทรดคริปโต อาจเกิดปัญหาได้โดยเฉพาะมือใหม่ หรือบางทีระบบที่ว่าเสถียรก็ยังขัดข้องได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นการที่ผู้ให้บริการมีช่องทางติดต่อที่หลากหลาย ติดต่อได้ง่าย หรือตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยสร้างความอุ่นใจให้นักลงทุนมากขึ้น
คำถาม – คำตอบ ที่ควรรู้ ก่อนเข้าสู่สนาม เทรดคริปโต
Q: คริปโตกับโทเคนต่างกันอย่างไร ?
A: คริปโตและโทเคนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเหมือนกัน แต่คริปโตเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีจำนวนจำกัด มูลค่าของเหรียญจึงแปรผันตามปริมาณของเหรียญ และความต้องการของตลาด เหรียญที่เป็นที่นิยมมากจึงมีราคาสูง สามารถใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้เหมือนเงินสด ตัวอย่างเหรียญคริปโต เช่น Bitcoin, Ethereum, Dogecoin ส่วนโทเคนนั้นไม่ได้สร้างขึ้นบนบล็อกเชนของตัวเองโดยตรง แต่มาจากบล็อกเชนของสกุลเงินดิจิทัลอื่น และใช้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างโดยเฉพาะ เช่น ใช้แสดงสิทธิในการร่วมลงทุนและรับเงินปันผล, สิทธิในส่วนแบ่งรายได้, สิทธิในการใช้งานแพลตฟอร์ม, สิทธิในการโหวต หรือใช้ในการระดมทุนแบบ ICO (Initial Coin Offering) เป็นต้น ตัวอย่างโทเคน เช่น Tether, Yearn Finance, Uniswap เป็นต้น
Q: การ เทรดคริปโต ต่างจากการลงทุนในหุ้นหรือไม่ ?
A: ภาพรวมของการเทรดคริปโตกับการลงทุนในหุ้นค่อนข้างคล้ายกัน เพราะมูลค่าของเหรียญหรือหุ้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด แต่จุดที่แตกต่างคือ ตลาดหุ้นมีเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจน แต่คริปโตไม่มี จึงมีการซื้อขายตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง ทำให้มีความผันผวนมากกว่า นอกจากนี้ผู้ที่เทรดคริปโตก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากเท่ากับการซื้อหุ้น เพราะสามารถซื้อเป็นหน่วยย่อยได้ เช่น ปัจจุบัน Bitcoin ราคาประมาณ 1,600,000 บาทต่อเหรียญ เราจะซื้อแค่ 0.001 ในราคา 1,600 นิดๆ ก็ได้
Q: กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์คืออะไร จำเป็นต้องมีหรือไม่ ?
A: การเก็บเงินสดทั้งธนบัตรและเหรียญยังต้องใช้กระเป๋า เงินดิจิทัลก็เช่นเดียวกัน แม้จะจับต้องไม่ได้ แต่ต้องมีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้เก็บ Public key และ Private key ที่ใช้ในการเข้าถึงและจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพแฮ็กข้อมูลไปได้ โดยกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์จะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ Hot Wallet หรือ Software Wallet ซึ่งจะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทุกครั้งที่ใช้งาน และ Cold Wallet หรือ Hardware Wallet ที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต หน้าตาจะเหมือนกับ USB เมื่อต้องการใช้งานก็สามารถเสียบเข้ากับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือมือถือได้เลย ความปลอดภัยสูงกว่า แต่ราคาก็สูงกว่าด้วยเช่นกัน
Q: เลือกเหรียญคริปโตอย่างไรดี ?
A: สำหรับมือใหม่หลายคนอาจจะไม่มั่นใจว่าควรเลือกเหรียญไหนดี เพราะปัจจุบันก็มีสกุลเงินดิจิทัลมากมาย แต่หากนึกย้อนไปถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อมูลค่าของเหรียญ ซึ่งก็คือความต้องการของตลาด เราก็ควรเลือกเหรียญที่อยู่ในกระแสนิยม เป็นที่สนใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ โดยอาจจะสังเกตจาก Volume หรือปริมาณการซื้อขายบนเว็บเทรดคริปโตชั้นนำ หรือใช้อินดิเคเตอร์ต่างๆ เข้ามาช่วย ทั้งนี้ควรศึกษาข้อมูลของเหรียญ เช่น ผู้สร้าง ความน่าเชื่อถือ โอกาสเติบโตในอนาคต รวมถึงมูลค่าเหรียญย้อนหลัง เพื่อเข้าซื้อให้ถูกจังหวะ
สิ่งสำคัญสำหรับมือใหม่ที่ต้องการลงทุนในคริปโตก็คือ การศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทั้งในเรื่องของการลงทุนเอง รวมถึงเรื่องของการใช้งาน อย่างเช่นการเลือกเว็บเทรดคริปโต จะเลือกแค่เพราะเป็นเว็บที่มีเหรียญที่ต้องการ หรือเน้นใช้งานง่ายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน ยิ่งปัจจุบันมีกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำเว็บเทรดปลอมขึ้นมาหลอกลวงผู้อื่น ก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะฉะนั้นก่อนเทรดอย่าลืมนำเทคนิคดีๆ เหล่านี้ไปใช้ และคอยติดตามข่าวสารข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ จะได้เทรดอย่างมั่นใจ ปลอดภัย ไร้กังวล
บทความที่เกี่ยวข้อง
5 กระเป๋าบิทคอยน์ Hardware Wallet ปลอดภัย และน่าเชื่อสุดในปี 2023
3 เว็บเทรดคริปโต ต่างประเทศ มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2023
เจาะลึกพื้นฐาน บิทคอยน์ พร้อมแนวโน้มปี 2024 ยังน่าซื้ออยู่ไหม ?
9 เรื่อง ที่มือใหม่ต้องรู้ก่อนซื้อ คริปโต
“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”
— GoalBitcoin Team