LUNA Effect ปรากฏการณ์สั่นสะเทือนวงการคริปโต สู่ข่าวบิทคอยน์ร่วงอย่างรุนแรง

หากย้อนกลับไปประมาณ 1-2 ปีที่ผ่านมา หลายคนคงจะได้ยิน ข่าวบิทคอยน์ กันจนชิน เพราะเป็นช่วงที่ตลาดคริปโตได้รับความนิยมสูงมาก สถาบันขนาดใหญ่ก็เริ่มเข้ามาลงทุนมากขึ้น จนทำให้ราคาปรับสูงขึ้นหลายเท่า และทวีความผันผวนมากขึ้นไปอีก โดยในปี 2020 มูลค่าต่ำสุดของบิทคอยน์อยู่ที่ 3,850 ดอลลาร์เท่านั้น แต่ภายในเวลาไม่นาน ในปี 2021 มูลค่าของบิทคอยน์ก็ไปแตะจุดสูงสุดที่ 64,895.22 ดอลลาร์ แน่นอนว่านักลงทุนที่เก็งกำไรย่อมได้ผลตอบแทนมหาศาล และนั่นก็ยิ่งดึงดูดให้นักลงทุนหน้าใหม่กระโดดเข้าไปร่วมวงด้วย แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั้งวงการคริปโต จนทำให้นักลงทุนเจ็บตัวไปตามๆ กัน บทความนี้จะมาเล่าให้ฟังว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และมีใครได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้บ้าง

ปรากฏการณ์เทขาย UST

จุดเริ่มต้นมาจากเหรียญ UST ของเครือข่าย Terra ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 เป็น Stable Coin ที่มีกลไกควบคุมมูลค่าด้วยเหรียญ Luna จากเครือข่ายเดียวกัน เพื่อรักษาความเสถียรภาพของเหรียญให้ตรึงราคาไว้ที่ 1 ดอลลาร์ ซึ่งนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนที่นำไปสู่ปรากฏการณ์เทขายเหรียญ UST ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2022 ที่มีมูลค่ารวมถึง 285 ล้านดอลลาร์ ทำให้ราคา UST ลดลงจนเกิด Panic Sell เป็นวงกว้าง นักลงทุนคนอื่นๆ พากันเทขายทั้งเหรียญ UST และ Luna จนทำให้ราคาของ UST ไม่สามารถกลับมายืนที่ 1 ดอลลาร์ได้ ในขณะที่เหรียญ Luna เองก็มีมูลค่าลดลงไปมากกว่า 99% และถูกถอดออกจากกระดานเทรดในเวลาต่อมาเพียงไม่กี่วัน พร้อมฉุดตลาดคริปโตให้ร่วงไปตามๆ กัน

การล่มสลายของ LUNA และ UST ส่งผลต่อ ข่าวบิทคอยน์ อย่างไร

บิทคอยน์ ร่วง

หลายคนอาจจะคิดว่าการที่ตลาดเกิด Panic Sell คงส่งกระทบต่อข่าวบิทคอยน์ในเรื่องมูลค่าที่ลดลงเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังมาจากเป้าหมายในการ Short บิทคอยน์ เพราะก่อนหน้านี้กองทุน Luna Foundation Guard (LFG) เพิ่งเข้าซื้อบิทคอยน์เพื่อนำมาเป็นเงินสำรอง แต่ใครจะคิดว่าสิ่งนี้กลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือโจมตีจนทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน LFG จึงประกาศปล่อยกู้บิทคอยน์เป็นมูลค่ากว่า 750 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และพยุงราคาของ UST ให้กลับมายืนที่ 1 ดอลลาร์ให้ไวที่สุด แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล และราคาบิทคอยน์ก็ยังปรับตัวลดลงมากกว่า 56% จากจุดสูงสุดในช่วงปลายปี 2021

สรุปผลกระทบจาก Luna Effect

  • 3AC กองทุนเฮดจ์ฟันด์คริปโต ยื่นขอล้มละลาย ด้วยเหตุผลว่ามูลค่าสินทรัพย์หายไปจากราคาคริปโตที่ดิ่งลงอย่างหนัก โดยเฉพาะการลงทุนใน LUNA ที่มีมูลค่ากว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการใช้กลยุทธ์เทรดสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง ก็ทำให้สินทรัพย์กองทุนไม่เพียงพอที่จะจ่ายคืนนักลงทุนและเจ้าหนี้อีกหลายราย
  • Voyager Digital กระดานเทรดคริปโต ยื่นขอล้มละลายเป็นรายต่อมา เพราะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ 3AC ซึ่งผิดนัดชำระหนี้ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนทำให้ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง
  • Celsius แพลตฟอร์มกู้ยืมคริปโต ยื่นขอล้มละลายเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ Celsius เพิ่งปลดหนี้ที่กู้ยืมจาก Compound Aave และ Make มูลค่ากว่า 820 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงตกอยู่ในสภาวะขาดสภาพคล่องอย่างหนัก
  • Zipmex Thailand แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ระงับการถอนเงินบาทและคริปโตชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่ามาจากความผันผวนของตลาด และปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นจากคู่ค้าทางธุรกิจหลัก ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัท โดยบริษัทแม่ของ Zipmex ได้นำสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ใช้บริการไปลงทุนกับ Babel Finance และ Celsius ที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง จนนำไปสู่การยื่นขอล้มละลาย และทำให้เกิดการฟ้องร้องในเวลาต่อมา
  • SCBX ยกเลิกธุรกรรมซื้อหุ้น Bitkub หลังตลาดคริปโตซบเซา ทำให้เหรียญ KUB ร่วงทันที 22%
  • CEO ของ Binance ประกาศขาย FTT ซึ่งเป็นโทเคนของเว็บเทรด FTX ทั้งหมดในบัญชี เนื่องจากตรวจพบว่า FTX นำเงินของลูกค้าไปให้ Alamenda Research ค้ำประกัน เพื่อกู้เงินไปใช้ในการลงทุน ราคาเหรียญจึงดิ่งลงกว่า 10% ตามมาด้วยการแห่ถอนเหรียญจน FTX ต้องประกาศหยุดถอนเหรียญชั่วคราว แม้ Binance ประกาศจะเข้าซื้อ แต่สุดท้ายก็ยกเลิก FTX จึงยื่นขอล้มละลาย
  • BlockFi ประกาศระงับการถอนเงินของลูกค้า และยื่นขอล้มละลาย เพราะปัญหาหนี้สินและสภาพคล่อง อีกทั้งยังต้องจ่ายค่าปรับถึง 100 ล้านดอลลาร์ ฐานกระทำผิดทางกฎหมาย นำเงินของลูกค้าไปปล่อยกู้
  • Genesis ได้รับผลกระทบในฐานะเจ้าหนี้ของ 3AC ที่ล้มละลาย และ Babel Finance ที่ขาดทุนหนัก อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของ FTX ที่ลงทุนไปกว่า 175 ล้านดอลลาร์

จากปรากฏการณ์เทขายเหรียญ นำมาสู่มหากาพย์ที่ส่งผลกระทบบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการคริปโตล้มต่อกันเหมือนโดมิโน ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยก็ต้องสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมากจากมูลค่าของเหรียญที่ลดลง สิ่งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ตอกย้ำถึงความเสี่ยงในการลงทุน เพราะแม้เหรียญ UST ที่ถือเป็น Stable coin ที่มีความผันผวนต่ำ และได้รับความนิยมสูง ก็มีโอกาสที่มูลค่าจะลดลงจนแทบไม่เหลือ เพราะฉะนั้นนักลงทุนจึงควรศึกษาทำความเข้าใจ และคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนในวงการคริปโตที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา


Hardware wallet เก็บบิทคอยน์

คำถามที่ถามบ่อย FAQ

ถาม : ภาพรวมของข่าวบิทคอยน์ในปี 2023 เป็นอย่างไร?

ตอบ : ภาพรวมของบิทคอยน์ในปี 2023 มีการปรับตัวสูงขึ้นหลังผ่านพ้นวิกฤตที่เกิดจากการเทขายเหรียญ UST ในปี 2022 ซึ่งนักวิเคราะห์ก็คาดการณ์กันว่ามูลค่าน่าจะเติบโตขึ้นอีกในอนาคต ทั้งนี้ความผันผวนของราคาบิทคอยน์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง นักลงทุนจึงต้องคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด

ถาม : ข่าวบิทคอยน์ร่วงเกิดจากอะไร ?

ตอบ : มูลค่าบิทคอยน์มักลดลงจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) รวมถึงอุปสงค์และอุปทาน หรือความนิยมในตัวบิทคอยน์เอง ที่ปัจจุบันก็ต้องแข่งขันกับเหรียญคริปโตอื่นๆ ในตลาดด้วย

ถาม : ข่าวบิทคอยน์ล้มละลายจริงไหม ?

ตอบ : บิทคอยน์ไม่ได้ล้มละลาย แต่ราคาปรับตัวลงอย่างมากในช่วงปี 2022 เนื่องมาจากปรากฏการณ์เทขายเหรียญ UST ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตโดยรวม จนทำให้บางบริษัทต้องขอยื่นล้มละลายเนื่องจากขาดสภาพคล่องหรือไม่สามารถชำระหนี้ได้ในขณะที่บิทคอยน์ก็ยังมีการซื้อขายต่อไปตามปกติ


บทความที่เกี่ยวข้อง

4 อันดับ เทรดคริปโต ที่ไหนดี สำหรับคนไทย ที่ได้รับการรับรองจาก กลต ปี 2023

ขุดบิทคอยน์ คืออะไร ? คุ้มค่าไหมที่จะลงมือขุดเอง ?

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!


A side profile of a woman in a russet-colored turtleneck and white bag. She looks up with her eyes closed.

“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team