Category: เทคโนโลยี Blockchain

เทคโนโลยี Blockchain สามารถสร้างแรงกระเพื่อมครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่ทุกวงการที่ต้องการความโปร่งใสของข้อมูล ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทุกคนรับทราบการเผยแพร่ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูงขึ้น สามารถนำไปสร้างประโยชน์ให้แก่ทั้งองค์กร สังคม ไปจนสามารถยกระดับศักยภาพของประเทศได้ด้วย

เคลียร์ชัด ! เงินดิจิตอล 10000 บาท ได้จริงไหม ? ใช้อย่างไร ?

 เงินดิจิตอล 10000 บาท

หลังจากที่นาย เศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นโยบาย เงินดิจิตอล 10000 บาท ที่เคยประกาศตอนหาเสียงก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล บ้างก็ถกเถียงกันถึงความเป็นไปได้ว่าจะแจกจริงหรือไม่ บ้างก็ตั้งคำถามถึงที่มาของเงิน รวมถึงสิทธิ์ที่จะได้รับว่าจะได้ทุกคนไหม และจะใช้อย่างไร บทความจึงจะพาทุกคนมาเคลียร์ให้ชัดทุกประเด็น

ทำความรู้จักนโยบายเงินดิจิตอลคืออะไร ?

นโยบายเงินดิจิตอล 10000 บาท เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยใช้ตอนหาเสียง โดยดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะเดินหน้านโยบายกระเป๋าเงินดิจิตอลวอลเล็ต เพื่อฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยประชาชนคนไทยทุกคนที่อายุ 16 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินดิจิตอลจำนวน 10,000 บาท และใช้ระบบบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาช่วย แน่นอนว่าหลังจากที่มีการประกาศนโยบายนี้ออกมา ก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา เพราะหากคำนวณจากจำนวนประชากรที่มีสิทธิ์ได้รับ จะต้องใช้งบประมาณสูงถึง 5.6 แสนล้านบาทเลยทีเดียว

คำถามที่ตามมาก็คือเงินส่วนนี้จะมาจากไหน ซึ่งหากเราไปดูในเอกสารของพรรคเพื่อไทย ได้ระบุไว้ว่า งบประมาณส่วนนี้จะมาจากรายได้ของรัฐในปี 2567, ภาษี, การบริหารจัดการงบประมาณ และงบประมาณด้านสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน อย่างไรก็ตามปัจจุบันที่มาของงบประมาณส่วนนี้ก็ยังไม่แน่ชัดนัก แต่มี 2 แนวทางที่เป็นไปได้คือ การกู้เงินโดยออกกฎหมายเงินกู้ และการขยายเพดานวงเงินตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 จาก 32% เป็น 45 %

เงินดิจิตอล 10000 ได้ทุกคนไหม ?

ทุกคนที่มีสัญชาติไทย และอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์เป็นต้นไป มีสิทธิ์ได้รับเงินก้อนนี้ทุกคน รวมถึงผู้ที่รับสวัสดิการอื่น ๆ อยู่ เช่น คนชรา คนพิการ ก็จะได้รับสิทธิ์เต็มจำนวนเช่นเดียวกัน และเงินจะเข้าไปยังกระเป๋าเงินดิจิตอลวอลเล็ตที่รัฐบาลเป็นผู้สร้างแบบอัตโนมัติ

เงินดิจิตอล 10000 ใช้ยังไง ?

หากใครเคยใช้แอปเป๋าตังค์มาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ลักษณะการทำงานคล้ายกัน โดยผู้ใช้งานต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินดิจิตอลวอลเล็ตลงบนมือถือเพื่อใช้งาน เวลาใช้จ่ายเงินดิจิตอลก็สแกน QR CODE ในกรณีที่ไม่มีมือถือหรือสมาร์ตโฟน ก็ไม่ต้องกังวล เพราะระบบผูกข้อมูลกับบัตรประชาชน จึงสามารถใช้จ่ายด้วยบัตรประชาชนและรหัสสำหรับซื้อสินค้าที่รัฐออกให้ แต่การใช้จ่ายนั้นมีข้อจำกัดคือ

  • ต้องใช้ภายใน 6 เดือนเท่านั้น
  • ใช้สำหรับซื้อสินค้าได้ทุกประเภท แต่ต้องไม่ข้องเกี่ยวกับอบายมุข เช่น บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาเสพติด การพนัน สลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น
  • ใช้ซื้อสินค้าที่หน้าร้านค้าเท่านั้น ไม่สามารถใช้ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้
  • ใช้ได้เฉพาะร้านค้าที่อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร จากที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระจายรายได้สู่ชุมชน ซึ่งในประเด็นนี้รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาหารืออีกครั้ง เนื่องจากประชาชนบางส่วนแสดงความเห็นว่าเป็นรัศมีที่แคบเกินไป บางพื้นที่แทบจะไม่มีร้านค้าที่อยู่ในละแวกนั้นเลย แต่ที่แน่ๆ คือไม่สามารถใช้นอกพื้นที่ได้ เพราะฉะนั้นใครที่พักอยู่คนละที่กับทะเบียนบ้าน ก็จะต้องกลับไปใช้ในพื้นที่เท่านั้น
  • ไม่สามารถถอนหรือแลกเป็นเงินสดได้

จะได้เงินดิจิตอล 10000 เมื่อไหร่ ?

เงินดิจิตอลมีกำหนดเริ่มใช้งานวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งล่าสุดนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ยังคงยืนยันว่าจะผลักดันโครงการให้ทันตามกำหนดเดิม ในขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์ว่าจะพยายามทำให้ทันเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หรืออย่างช้าสุดไม่เกินไตรมาสแรกของปี 2567

เราก็คงต้องมาคอยติดตามกันว่านโยบายเงินดิจิตอลเพื่อไทยนั้นจะกลายเป็นจริงหรือไม่ และสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะเลือกแหล่งที่มาของเงินทางไหน เพราะหลายฝ่ายก็ยังออกมาแสดงความเห็นให้รัฐบาลทบทวนนโยบายเงินดิจิตอลนี้อีกครั้ง เนื่องจากมองว่าผลที่ได้อาจจะไม่คุ้มเสีย อย่างไรก็ตามก็มีประชาชนอีกไม่น้อยที่เฝ้ารอเงินดิจิตอลก้อนนี้ เพราะมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้นานถึง 6 เดือน

ถ้าไม่มี มือถือ จะทำอย่างไรดีนะ?

ไม่มี มือถือไม่ใช่ปัญหาเลย มีกระแสข่าวบอกว่าจะต้องโหลดแอปฯ เพื่อลงทะเบียน แต่จริง ๆ แล้วใช้เพียงเลขบัตรประชาชน ก็สามารถจับจ่ายใช้สอยด้วยเงินดิจิตอล 10000 บาท ดังกล่าวได้แล้ว แต่ข้อควรระวังตอนนี้ก็คือ เงินดิจิตอล 10000 บาทนี้ ยังไม่มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นลิงก์ลงทะเบียน แอปพริเคชัน SMS หรือช่องทางใด ๆ ที่เพื่อน ๆ อาจเคยเห็นหรือเคยได้รับ ถือเป็นกลลวงของมิจฉาชีพทั้งสิ้น อย่าคลิกหรือดาวน์โหลด และอยากให้เพื่อน ๆ ระวังกันให้ดีด้วยน้า


คำถามที่ถามบ่อย Q&A

ถาม : เงินดิจิตอลซื้ออะไรได้บ้าง ?

ตอบ : เงินดิจิตอลสามารถซื้อได้ทุกอย่าง เช่น สินค้าอุปโภค บริโภค อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ รถจักรยานยนต์ หรือจะใช้เติมน้ำมันก็ยังได้ ยกเว้นของที่เป็นอบายมุข เช่น บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาเสพติด การพนัน สลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น

ถาม : เงินดิจิตอลต้องลงทะเบียนไหม ?

ตอบ : ไม่ต้องลงทะเบียน เพราะเป็นการผูกข้อมูลกับบัตรประชาชน เงินจะเข้าโดยอัตโนมัติ

ถาม : เงินดิจิตอลใช้ได้ที่ไหนบ้าง ?

ตอบ : ใช้ได้กับทุกร้านที่ร่วมบริการ ทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านค้าทั่วไป

ถาม : ร้านค้าที่รับชำระด้วยเงินดิจิตอล สามารถแลกเป็นเงินสดได้หรือไม่ ?

ตอบ : ร้านค้าที่สามารถนำเงินดิจิตอลไปแลกเป็นเงินสดได้ ต้องเป็นร้านค้าที่มีการจดทะเบียนการค้าเท่านั้น และต้องมาขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ส่วนร้านที่ไม่ได้ทำการจดทะเบียน ก็ยังสามารถรับชำระได้เหมือนกัน เพียงแต่จะนำไปแลกเป็นเงินสดไม่ได้ แต่สามารนำไปใช้ซื้อสินค้าอื่นๆ ต่อได้

ถาม : เงินดิจิตอลเหมือนกับคริปโตหรือไม่ ?

ตอบ : ไม่เหมือน เพราะมีข้อจำกัดมากกว่า ทั้งจำนวนสิทธิ์ผู้งานที่ต้องเป็นคนไทยอายุมากกว่า 16 ปี ระยะเวลาใช้งานที่มีแค่ 6 เดือน และจุดประสงค์ที่ใช้แทนเงินบาทเพื่อซื้อของหน้าร้านค้าเท่านั้น ส่วนเงินคริปโตทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทั่วทั้งโลก และมีมูลค่าไม่คงที่ ทำให้นักลงทุนนิยมซื้อเก็งกำไร

Hardware wallet เก็บบิทคอยน์

บทความที่เกี่ยวข้อง

4 อันดับ เทรดคริปโต ที่ไหนดี สำหรับคนไทย ที่ได้รับการรับรองจาก กลต ปี 2023

ขุดบิทคอยน์ คืออะไร ? คุ้มค่าไหมที่จะลงมือขุดเอง ?

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!


A side profile of a woman in a russet-colored turtleneck and white bag. She looks up with her eyes closed.

“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

ถ้าจะพูดถึงเรื่องราว ข่าวบิทคอยน์ หลายๆคนคงนึกถึงจุดเริ่มต้นของบิทคอยน์ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนสร้าง แต่ในวงการนี้ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่มีทั้งคนรู้และไม่รู้มาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่เกิดความฮือฮามาแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งบิทคอยน์เริ่มเป็นกระแสสังคมมาเรื่อยๆ ดังนั้น เราจะมาทำความรู้จักกับเรื่องราวในแวดวงบิทคอยน์กันสักหน่อย กับ เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

มาเริ่มกันที่ เรื่องแรก…… ซาโตชิ บิดาแห่งบิทคอยน์

เรื่องนี้ในวงการบิทคอยน์คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินใช่ไหม แต่เราอยากจะตอกย้ำให้จดจำกันอีกสักครั้ง กับจุดเริ่มต้นของคนที่ทำให้มีบิทคอยน์ขึ้นมา เขาคือ Satoshi Nakamoto (นามแฝง) หรือบิดาแห่ง บิทคอยน์ ซึ่งเขาได้เป็นคนบุกเบิกสกุลเงินดิจิตอลสู่ชาวโลกครั้งแรก ผ่านเว็บไซต์ bitcoin.org และ metzdowd โดยยึดหลักการที่ว่า ไม่ต้องการให้ค่าเงินถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือสถาบันการเงินใดๆ

Satoshi เริ่มเขียนโค๊ดพัฒนาบิทคอยน์ตั้งแต่ปี 2007, นำเสนอ whitepaper ปี 2008 และคลอด Bitcoin version 0.1 ในปี 2009 และยังคงพัฒนาซอฟแวร์อย่างต่อเนื่องมาจนถึงช่วงปี 2010 จนระบบถูกวางเสร็จสมบูรณ์ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจากวงการบิทคอยน์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก่อนที่จะส่งต่อข้อมูลทั้งหมดให้ Gavin Andresen (ซึ่งดำรงตำแหน่ง Bitcoin core development lead และ Bitcoin foundation จนถึงปี 2016) บัญชีของ Satoshi ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีบิทคอยน์ครอบครองมากที่สุดในโลกถึง 1ล้าน BTC กระจายอยู่พันกว่าบัญชี รวมมูลค่าทรัพย์สินของเขาใน cryptocurrency ถึง 36,181 ล้านเหรียญสหรัฐ (ว้าว!!) (อ้างอิงตามราคา ฺBitcoin ที่ https://coinmarketcap.com/  1 BTC = 36,181 USD )    เรียกได้ว่า เขานี่แหละ คือเจ้าพ่อที่ทำให้บิทคอยน์ มีชื่อเรียกเป็นหน่วยซาโตชินั่นเอง

มาต่อกันกับเรื่องที่ 2 ฮือฮาสุด ซื้อพิซซ่า 2 ถาดได้ด้วย บิทคอยน์

เรื่องนี้ไม่พูดไม่ได้แล้ว เพราะเสมือนเป็นเรื่องหลักๆ ที่วงการบิทคอยน์จดจำ และกลายเป็นตำนาน ถึงขนาดปัจจุบัน มีวัน “Bitcoin Pizza Day” ซึ่งเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2010 เมื่อผู้ใช้งาน Bitcoin รายหนึ่ง ชื่อว่า Laszlo Hanyecz ได้ใช้บิทคอยน์จำนวน 10,000 BTC ไปแลกกับพิซซ่าจำนวน 2 ถาด จนกลายเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ครั้งแรกของโลก ที่ไม่ต้องใช้เงินสดซื้อพิซซ่า โดยตอนนั้น Bitcoin มีราคาอยู่เพียง 0.004 ดอลลาร์ ทำให้พิซซ่ามีมูลค่าที่ 41 ดอลลาร์ ซึ่งถ้าเทียบกับมูลค่า BTC ในปัจจุบัน จะทำให้พิซซ่าสองถาดนี้ กลายเป็นพิซซ่าที่แพงที่สุดในโลก เขายังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า  ได้ขอซื้อพิซซ่าผ่านการโพสต์ลงเว็บบอร์ด Bitcointalk  โดยแจ้งในบอร์ดว่า “คุณจะทำพิซซ่ามาและนำมาส่งที่บ้านผมเองก็ได้นะ หรือจะสั่งให้ผมแล้วผมไปรับก็ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมต้องการจะใช้ คือ Bitcoin แลกกับอาหารโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องทำเอง คล้าย ๆ การสั่งอาหาร Delivery ที่โรงแรม ที่เขามาอาหารมาเสริฟ์ในห้อง และคุณกินมันอย่างมีความสุข” หลังจากนั้นสองวัน เขาก็โพสต์ภาพพิซซ่าสองถาด ที่ได้รับพิซซ่าจากร้าน Papa John โดยมีคนสั่งซื้อมาส่งให้เขาถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว

ครอบครัว Laszlo Hanyecz ผู้ใช้ บิทคอยน์ 10,000 BTC แลกกับ พิซซ่า 2 ถาด

          แถมจุดประสงค์ของเค้าที่ต้องการซื้อ 2 ถาด เพราะเขาอยากเหลือไว้กินในวันถัดไปอีกด้วย เรียกได้ว่าเรื่องนี้แหละ คือ เรื่องที่ทำให้บิทคอยน์กลายเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ดูมีมูลค่าขึ้นมาทันที จนมีคนสนใจที่จะหามันมาครอบครองเพื่อซื้อขายออนไลน์กันโดยเฉพาะ

เรื่องที่ 3 : วิกฤติ MtGox และ Coincheck เว็บเทรดเจ้าใหญ่ ถูกแฮก สะเทือนวงการ “เงินดิจิตอล”

ช่วงปี 2014 เกิดเหตุการณ์สะเทือนวงการผู้ใช้สกุลเงินดิจิตอล “บิทคอยน์” เมื่อเว็บเทรด “MtGox” ซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อขาย บิทคอยน์ รายใหญ่ที่สุดของโลกได้ยื่นเอกสารต่อศาลในกรุงโตเกียวเพื่อขอล้มละลายและพิทักษ์ทรัพย์ หลังจากถูกแฮคเกอร์โจรกรรม บิทคอยน์ จำนวน 750,000 เหรียญ พร้อมกับ บิทคอยน์ ของบริษัทราว 100,000 เหรียญ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.56 หมื่นล้านบาท) โดย คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน CoinDesk ในวันดังกล่าว วิกฤติการณ์ครั้งนั้นถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผู้ถือครองสกุลเงิน บิทคอยน์ หวั่นวิตกกับอนาคตของสกุลเงินดังกล่าว หลังจากที่ บิทคอยน์ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

มูลค่าความเสียหาย ของเว็บเทรดที่ถูกแฮก

Mt Gox เว็บเทรดเจ้าใหญ่ในตำนานสัญชาติญี่ปุ่นที่ถูกแฮกไปในปี 2014 ทำให้ตลาดคริปโตกลายร่างเป็นขาลงยาวนานถึงสองปี โดยมีแผนจะชดเชยบิทคอยน์จำนวน 140,000 BTC ให้แก่นักลงทุนในวันที่ 15 ตุลาคม 2020 หลังถูกเลื่อนมาแล้วถึงสี่รอบ หลังจากนั้น ปี 2018 บริษัท Coincheck ซึ่งเป็นบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ถูกแฮกเกอร์มือดีเข้ามาเจาะระบบคอมพิวเตอร์ โจรกรรมเงินดิจิทัลไปได้มหาศาลถึง 5,800 ล้านเยน หรือราว 534 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 16,700 ล้านบาท) จนถือเป็นการขโมยเงินดิจิทัลครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ทำลายสถิติของ บริษัท MtGOX

เรื่องที่ 4 : ปล้นบิทคอยน์ โดยไวรัส Wannacry

อะไรที่เป็นกระแส และได้เงินจริง มักจะมีผู้ไม่หวังดี ทำตัวเป็นโจรคอมพิวเตอร์ หาเรื่องเรียกค่าไถ่ คุกคามผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทันที อย่าง ไวรัส Wannacry  ที่เคยระบาดหนักอยู่ช่วงปี 2017 โดยไวรัสตัวนี้ จะเป็น หนึ่งใน ransomware ที่ทำการเข้าควบคุมคอมพิวเตอร์เหยื่อ โดยทำการล็อคข้อมูลทั้งหมด และเรียกค่าไถ่เป็น Bitcoin เป็นจำนวนเงินไทยกว่า 100,000 บาท เพื่อแลกกับการปลดล็อคคอมพิวเตอร์ โอ้วโหว ที่มันเป็นการเรียกค่าไถ่รูปแบบใหม่ชัดๆ ซึ่งเท่ากับว่า เงินจำนวนกว่า 4 ล้านบาท สูญไปกับกลุ่ม Hacker ไปเลย

เมื่อคอมพิวเตอร์ติดไวรัส WannaCry จะมีหน้าตาตามรูปนี้

          บริษัทและผู้คนบนโลกกว่า 150 ประเทศ ต้องปั่นป่วน เพราะคอมพิวเตอร์จำนวนกว่า 230,000 เครื่องถูกไวรัสนี้เข้าควบคุม แม้แต่โรงพยาบาลยังถูกล็อคข้อมูลเข้าถึงผู้ป่วย หรือบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคม อย่าง FedEx ในสเปนยังได้รับผลกระทบไปด้วย ผลกระทบของการโจรกรรมในครั้งนั้น ได้ถูกเชื่อมโยงไปยังกลุ่ม Hacker ในเกาหลีเหนือ  นามว่า The Lazarus Group โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยต่างระบุว่า Wannacry เป็นไวรัสที่โจมตีบริษัทดัง และธนาคารในประเทศต่างๆ จนเกิดความเสียหายอีกด้วย อีกทั้งบิทคอยน์ที่ถูกโจรกรรมไป บางส่วนก็ถูกนำไปซื้อของในตลาดมืดอีกด้วย   นับว่าเป็นการกระทำที่ทำให้นักลงทุนบิทคอนย์เฟลไปตามๆกัน แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน เว็บไซต์สำหรับใช้งานบิทคอยน์ต่างๆ มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก

เรื่องที่ 5 : โปรแกรมเมอร์ บุญมี แต่กรรมบัง!!!

เจมส์ โฮเวลส์ ทิ้งฮาร์ดไดร์ฟที่เขาลืมไปว่ามีบิทคอยน์ จำนวน 7,500 เหรียญ บันทึกอยู่ ลงถังขยะเมื่อ 8 ปีที่แล้ว นายโฮเวลส์ ซื้อบิทคอยน์มาในราคาถูกมากเมื่อปี 2009 แต่เขาถอดฮาร์ดไดร์ฟที่ใช้บันทึกบิทคอยน์เหล่านั้นออก หลังจากทำเครื่องดื่มหกใส่คอมพิวเตอร์ และเก็บฮาร์ดไดร์ฟไว้ในลิ้นชักจนกระทั่งลืมว่ามีบิทคอยน์บันทึกไว้อยู่ ต่อมาเขาได้โยนฮาร์ทไดร์ฟทิ้งไปในปี 2013 ขณะนี้เขากำลังร้องขอให้เทศบาลเมืองนิวพอร์ต ทางตอนใต้ของเวลส์ ช่วยขุดฮาร์ดไดร์ฟดังกล่าวที่เชื่อว่าอยู่ในที่ฝังกลบขยะของเทศบาล โดยสัญญาว่าจะบริจาคส่วนแบ่ง 25% ตามมูลค่าของบิทคอยน์ให้กับเทศบาลเพื่อเป็นกองทุนต่อสู้กับโรคโควิด-19 ส่วนคนที่ สอง คือ สเตฟาน โทมัส โปรแกรมเมอร์ชาวเยอรมนีที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เพราะว่า เขาได้ทำรหัสผ่านที่จะล็อกอินเข้าบัญชีบิทคอยน์ของตัวเองหายไป” ซึ่งภายในบัญชีของเขานั้นมีบิทคอยน์อยู่ มากถึงกว่า 7,002 เหรียญ ซึ่งจากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น กลายเป็นบทเรียนราคาแพง ไม่เฉพาะของ “สเตฟาน โทมัส” คนเดียวเท่านั้น แต่เหมือนว่าจะเป็นปัญหาของคนที่ชอบลืมรหัสผ่านกำลังเกิดขึ้นกันหลายๆคน เพราะยังมีผู้ถือบัญชีบิทคอยน์ทั่วโลกที่ถือบิทคอยน์จำนวนมากไว้ในมือ แต่ไม่สามารถขายได้เพราะลืมรหัสผ่านที่ตัวเองตั้งไว้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทำความรู้จักกับ Satoshi ซาโตชิ หน่วยย่อยของ บิทคอยน์ blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้ 6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง! คนรวยด้วยบิทคอยน์ มีสักกี่คน? มือใหม่อยากรวย ตามมาดูกัน

3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีการซื้อขายสูงสุดปี 2020

ใครที่อยากลองเทรดในตลาดต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง บทความนี้ เรามาดูกันว่า 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2020 มีเจ้าไหนบ้าง ไปดูกัน

อ่านต่อที่นี่

4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต ประจำปี 2563

วันนี้เราได้รวบรวม 4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต โดยเว็บเทรดทั้ง 4 นี้ สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามบทเฉพาะกาลตามคำสั่งของ ก.ล.ต. หรือ ได้รับ License แล้วนั่นเอง

อ่านต่อที่นี่

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

blockchain คือ อะไร

เทคโนโลยี Blockchain คือ อะไร?  มีการถูกพูดถึงกันมานานตั้งแต่ปี 2008 จนมาถึงปัจจุบันเลย แต่เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่ว่า คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมคนพูดถึงอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะยังคงเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงสำหรับยุคนี้ หลายคนมองว่ามันจะมาเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกเราเลยทีเดียว เวลาที่เราได้ยินคำนี้มักจะมีคำอื่นตามมาด้วย เช่น  บิทคอยน์ (Bitcoin) หรือสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

ทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร  ใจความสำคัญของระบบ Blockchain นี้คือเทคโนโลยีอะไรกันแน่ คนยุคนี้จะเอาเทคโนโลยี Blockchain ไปทำอะไรต่อไปในอนาคต  แต่ก่อนที่เราจะนำเข้าเรื่อง วันนี้เราจะเล่าความเป็นมาสั้นๆ เบื้องต้นถึงที่มาที่ไปของเรื่องเงินๆทองๆที่ควรรู้กันซักนิด

ในปี 2008 อเมริกาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจาก วิกฤติซับไพม์ หรือ ในประเทศไทยเราได้ยินกันคุ้นหู ว่า วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากความซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา และหนี้สินของบริษัทและบุคคลที่สูงมากเกินไป เกิดภาวะฟองสบู่แตกในตลาดที่อยู่อาศัยในอเมริกา 

วิกฤติครั้งนี้ เผยให้เห็นความอ่อนแอในระบบการเงินของอเมริกาและส่งผลกระทบลามไปทั่วโลก  เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ทำให้อเมริกาตัดสินใจพิมพ์เงินจำนวนมากเข้าระบบใหม่ โดยไม่มีการรับประกัน เรียกว่าพิมพ์กันขึ้นมาลอยๆ อยากได้เท่าไหร่พี่ใหญ่พิมพ์ไปเท่านั้น เพื่อมายื้อชีวิตเศรษฐกิจของประเทศ ประชาชนทุกคนจะได้มีเงินไปจับจ่ายและชำระหนี้กันต่อไป แถมยังตั้งชื่อการพิมพ์เงินแบบเก๋ๆว่า QE (Quantitative Easing) เหตุการณ์นี้ทำให้คนทั้งโลกต้องช็อคไปตามๆกัน

เรามาศึกษาเรื่อง พิมพ์เงิน QE (Quantitative Easing) กันอีกนิดจากวีดีโอนี้ 

 

จากการที่อเมริกาพิมพ์เงินออกมาเองเป็นว่าเล่น แบบ QE (Quantitative Easing) นี้เอง ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของระบบการเงินที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลกลาง จนมีอัจฉริยะนิรนามที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto (ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่าผู้สร้างบิทคอยน์นั้นตัวจริง ๆ เป็นใคร เนื่องจากเจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยตัวตน) ได้ทำการปฏิวัติโลกของเงินตราด้วยการนำเสนอเทคโนโลยี Blockchain และเงินสกุลดิจิทัลชนิดแรก ที่เรียกว่า บิทคอยน์ Bitcoin ที่เป็นกระแสในปัจจุบัน ขึ้นชื่อในเรื่องความปลอดภัยและความน่าเชื่อถืออย่างที่สุด และหลังจากบิทคอยน์ถูกวางระบบเรียบร้อยและทำงานได้อย่างถูกต้อง  Satoshi ก็วางมือและหายไปตั้งแต่ปี 2010 และจากการสร้าง Bitcoin ขึ้นมานี่เอง ทำให้ตัวเขาได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ แต่ตัวเขาเองกลับปฏิเสธการรับรางวัล จากตรงนั้นมาถึงตรงนี้เราขอวางเรื่องของ บิทคอยน์ Bitcoin ไว้ก่อน แล้วมาคุยในเรื่องของ Blockchain แทน

Blockchain ทำงานยังไง? โปร่งใสกว่าและปลอดภัยจริงหรือ?

ทีนี้เรามาเข้าใจกันก่อนว่าเทคโนโลยี  Blockchain คืออะไร ? ทำไม Satoshi Nakamoto ถึงได้พัฒนาขึ้นมาใช้เพื่อบอกว่าสิ่งนี้โปร่งใสกว่าและปลอดภัยกว่าที่เคยมีมา

ให้เราลองนึกภาพของเรากับธนาคาร ปกติแล้วหากเราต้องการจะทำธุรกรรมทางการเงินไม่ว่าจะฝาก ถอน หรือโอนเงิน เราต้องไปทำผ่านธนาคารเท่านั้น ตรงนี้เราเรียกว่า ความเป็นศูนย์กลางหรือระบบที่รวมทุกอย่างไว้ที่ตัวกลาง (Centralized) ธนาคารจะเป็นผู้รับเรื่อง บันทึก เก็บเงินแต่เพียงผู้เดียว ส่วนเราได้แค่สำเนาหรือสมุดบัญชีเก็บไว้เป็นหลักฐาน มีแค่เราและธนาคารที่รู้ข้อมูลการเดินบัญชี และหากเราต้องการโอน ก็จะมีการบันทึกการเดินบัญชีของเราและบัญชีของผู้รับโอน ตรงนี้อาจมีค่าใช้จ่ายเพราะบางครั้งธนาคารคิดค่าธรรมเนียมเราเพิ่มด้วย และข้อมูลตรงนี้มีแค่เราสามคนที่รู้เรื่อง (ผู้โอน,ธนาคาร และผู้รับ)

วิกฤติการถอนเงินที่ ไซปรัส
วิกฤติการถอนเงินที่ ไซปรัส ประชาชนไม่สามารถถอนเงินของพวกเขาออกมาได้

ในปี 2013 เกิดเหตุการณ์วิกฤติการเงิน ทำให้ธนาคารกลางประเทศไซปรัสได้บังคับใช้มาตรการห้ามชาวไซปรัสถอนเงินเกินกว่า 300 ยูโรต่อวัน และห้ามนำเงินมากกว่า 1,000 ยูโรออกนอกประเทศ  ตลอดถึงมีแผนการยึดเงินผู้ฝาก และบังคับให้ประชาชนไซปรัสถือเป็นหุ้นธนาคาร-ห้ามถอนเงินในบัญชี ชั่วคราว ทำให้เริ่มมีหลายคนเคลือบแคลงใจในธนาคารกลาง ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางหรือระบบที่รวมอำนาจทุกอย่างไว้ที่ตัวกลาง ว่ามีความปลอดภัยจริงหรือไม่?

แต่ เทคโนโลยี Blockchain เริ่มเข้ามามีบทบาท ถูกออกแบบมาให้เราสามารถส่งข้อมูลหากันหรือแม้กระทั่งส่งเงินหากันได้ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ ทุกคนในระบบมีเอกสารข้อมูลการเดินบัญชีทั้งหมดแบบ Public พูดได้ว่าเราสามารถรู้และตรวจสอบได้หมดว่าบัญชีไหนมีเงินเท่าไหร่ ใครโอนให้ใคร รับต่อกันอย่างไร ข้อมูลจะถูกส่งต่อถึงกันและกันได้โดยอัตโนมัติ ตรงนี้เรียกว่า ระบบกระจาย (Decentralized) ซึ่งความชัดเจนของระบบนี้ได้เกิดความโปร่งใสเรื่องเงินๆทองๆให้โลกตะลึง ฉะนั้นถือว่าระบบนี้ขจัดการหมกเม็ดและสร้างความกระจ่างเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนเห็นข้อมูลตั้งแต่ต้นยันปัจจุบันด้วยกัน แตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นของยุคเก่า ที่ความโปร่งใสในการทำธุรกรรมมาแบบขุ่นๆ เทาๆ สร้างความคลางแคลงใจแก่ผู้คนไม่น้อย

มาทำความเข้าใจ Blockchain คือ อะไร จากวีดีโอนี้ 

Bitcoin (บิทคอยน์) กับ Blockchain  เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

วกกลับมาที่เรื่อง บิทคอยน์ Bitcoin กันต่อ โดยปกติแล้ว เงิน คือสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและทรัพยากรที่เราต้องการ ความน่าเชื่อถือของเงินในแต่ละสกุลขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลแต่ละประเทศ แต่จากประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจของโลกและเรื่องราวของการพิมพ์เงินออกมาเองแบบ QE ของอเมริกา ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามเกิดความสังสัยว่า เงินประเภทไหนที่ไม่ต้องมีรัฐบาลมาคอยค้ำ ไม่ต้องมีทองคำมาตัวเป็นประกัน มีน่าเชื่อถือได้ด้วยตัวมันเอง เงินประเภทไหนที่จะไม่มีวันเพิ่มจำนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วยวิธีการ QE เงินประเภทไหนที่จะมีคุณสมบัติหายาก ปลอมแปลงไม่ได้ และแบ่งเป็นชิ้นส่วนย่อยๆ ได้ แบบที่เราทำกับทองคำได้ จึงเป็นที่มาของนวัตกรรม Bitcoin เงินตราทางเลือกที่เป็นของมหาชน ดูแลโดยมหาชน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นตัวกลาง มีความโปร่งใส ตรวจสอบธุรกรรมทั้งหมดได้ ซึ่งแนวคิดนี้เป็นจริงได้ ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกชื่อว่า Blockchain นั่นเอง

Bitcoin คือ สกุลเงินแรกในรูปแบบของดิจิทัล ถูกสร้างขึ้นมาเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนในลักษณะเดียวกับทองคำ นั่นคือ มีจำนวนจำกัด หายาก ปลอมแปลงไม่ได้ โกงไม่ได้ หรือพูดอีกแง่ Bitcoin มีคุณสมบัติและคุณค่าไม่ต่างจากทองคำในอดีต ถูกสร้างขึ้นมาด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ Bitcoin ไม่มีรูปร่างและไม่สามารถจับต้องได้เหมือนธนบัตรหรือเหรียญเงินบาท Satoshi ได้โปรแกรมให้มีปริมาณ Bitcoin ที่จำกัด อยู่ในระบบเพียง 21 ล้าน Bitcoin เท่านั้น

จะเห็นได้ว่า Blockchain ไม่ใช่ Bitcoin และ Bitcoin ก็ไม่ใช่ Blockchain แต่โมเดล Bitcoin รันอยู่ในระบบของเทคโนโลยี Blockchain  เพื่อให้การซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลนี้ มีความปลอดภัย เพราะว่า Blockchain ว่าด้วยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องได้กับทุกอุตสาหกรรม ไม่เจาะจงเฉพาะ Bitcoin หรือ FinTech เพียงแต่เทคโนโลยีนี้เรียกได้ว่าส่งผลกระทบต่อวงการ FinTech ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน

Blockchain จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร?

ยกตัวอย่างที่เห็นชัดๆก็เช่น บิทคอยน์ (Bitcoin) ที่เป็นสกุลเงินดิจิตอล เนื่องด้วยบิทคอยน์ไม่มีเงินจริงๆให้เราจับต้องได้ ดังนั้นเวลาที่เราโอนเงินหากันจึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ามาช่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับบิทคอยน์ เพราะการโอนเงินให้กันก็จำเป็นต้องมีระบบที่น่าไว้ใจได้

หรืออย่างธุรกิจ Startup จะต่างกับ SME ก็ตรงเรื่องการที่เราเอาเทคโนโลยีเข้าไปใส่ธุรกิจดังนั้นส่วนใหญ่ของ Startup มีแนวโน้มที่จะต้องมาใช้เทคโนโลยี Blockchain แน่นอน เพราะทุกอย่างบนโลกแทบจะถูกเปลี่ยนเป็นข้อมูลดิจิตอลได้เกือบทั้งหมด เพราะถ้าเราสแกน กระดาษลงไปให้คอมพิวเตอร์นั้นก็แปลว่าเราได้เปลี่ยนกระดาษเป็นข้อมูลดิจิตอลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และอีกเหุตผลหนึ่งที่ Blockchain ถูกให้ความสนใจมากขึ้นเพราะปัจจุบันประเด็นเรื่องความโปร่งใสของคนกลาง ก็เป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถามกันมากขึ้น ว่าทำไมเราถึงยอมให้ใครเพียงคนใดคนนึงเข้าถึงข้อมูลเราได้อย่างอิสระ จะดีกว่ามั้ยถ้าข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ส่วนตัวจริงๆ แล้วเราจะรู้ได้เฉพาะกับคนที่เราอนุญาตจริงๆเท่านั้น




Blockchain ข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ?

การที่ Blockchain มีรูปแบบการทำงานแบบกระจายศูนย์ (Distributed), เกือบจะเป็น Real Time, ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการได้ และมีรูปแบบดิจิตอล ซึ่งทำให้เกิดข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

ข้อดี ของ Blockchain

ข้อเสีย ของ Blockchain

·         สามารถลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ หรือในสถาบันการเงิน

·         สามารถจัดการต่อธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่จากศูนย์กลาง

·         มีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ

·         ไม่สามารถลบ หรือกลับไปแก้ไขรายการได้

·         สามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมได้ และวิธีการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ

·         ลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกง และการปลอมแปลงบัญชี

·         รับประกันได้ว่าข้อมูลถูกต้องเชื่อถือได้

·         มีการทำธุรกรรมและบันทึกผลได้แบบ real time

·         ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของงาน back office

·         ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมลดลง

·         นิยมใช้สำหรับการทำธุรกรรมที่มีจำนวนเงินน้อยๆ

·         สร้างโอกาสสำหรับผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ

·         ข้อมูลธุรกรรมในบัญชี distributed ledger จะต้องถูกเปิดเผยให้ทุกคนในวง Blockchain รู้

เนื่องจาก Blockchain ไม่มีตัวกลาง ดังนั้นระบบบัญชีจึงเป็นแบบกระจาย Distributed Ledger คือทุกคนในวงจะมีข้อมูลบัญชี Blockchain ที่เหมือนกัน หากใครมีการ update บัญชีก็ต้องแจ้งให้ทุกคนในวงทราบ

·         ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับและนำไปใช้แพร่หลาย สำหรับบุคคลทั่วไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อมูลเกือบจะทุกรูปแบบสามารถแปลงให้อยู่ในรูปข้อมูลดิจิตอลได้ Blockchain จึงสามารถใช้สำหรับกิจกรรมที่แตกต่าง และหลากหลาย เนื่องจากกิจกรรมแทบทุกประเภทของคนเราตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อถือและตรวจสอบได้ ดังนั้น Blockchain จึงสามารถรองรับการซื้อขายสินค้า บริการ หลักทรัพย์ สินเชื่อ ที่ดิน บ้าน ฯลฯ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วมากขึ้น ง่ายกว่าเดิม และมีต้นทุนน้อยกว่าวิธีเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยอย่างมาก

Blockchain กฏหมายและการยอมรับ ?

ก่อนหน้านี้ในระยะเริ่มแรก หลายประเทศยังไม่ตอบรับและไม่มีกฏหมายรองรับเงินสกุลดิจิทัล (Cryptocurrency) เหล่านี้ เนื่องจากไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของบัญชี ไม่มีคนควบคุม และเงินชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในบัญชีเดียวอีกด้วย แต่ในช่วงระยะหลังเริ่มมีหลายๆประเทศออกมายอมรับเงินสกุลดิจิทัลกันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เต็มตัวอยู่ดี ตราบใดก็ตามที่มนุษย์ยังให้ความเชื่อถือใน Cryptocurrency หวังว่าจะสามารถแลกเงินโลกเสมือนกลับมาเป็นสิ่งของหรือสินค้าได้ไม่ต่างจากการซื้อขายด้วยเงินจริงหรือทองคำ และที่สำคัญคือ Cryptocurrency นี้ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจแต่อย่างใด ไม่ว่าอเมริกาจะไปถล่มเกาหลีเหนือ ยุโรปจะแตก ญี่ปุ่นจะล้มละลาย รัสเซียกับอเมริกาจะเริ่มสงครามโลกกันใหม่ หรือจีนจะครองโลก ก็ไม่ได้มีปัจจัยเกี่ยวอะไรกับพื้นฐานของเงินชนิดนี้เลย ตัวมันเองยังคงอยู่อย่างเป็นเอกเทศ แตกต่างจากเงินดอลล่าร์ เยน หยวน บาท หรือยูโร ที่นับวันจะผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในหลายปีที่ผ่านมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนิ่ง

Blockchain กับประเทศไทย ไปกันได้มั้ย?

สำหรับประเทศไทย แม้ว่าเทคโนโลยี Blockchain จะถือเป็นเรื่องใหม่แต่ด้วยนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ธุรกิจจึงต้องปรับตัวเข้ากับนวัตกรรมใหม่ ๆ ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เริ่มมีนโยบายนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้กับ Startup ทดสอบกระดานการลงทุนเฉพาะกลุ่ม เพื่อเป็นการทดสอบระบบแยกจากการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามถือว่าการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับไทยและยังต้องศึกษาการพัฒนาการใช้เทคโนลียีนี้ต่อไปในอนาคต

กระแสของ Blockchain และตัวอย่างข่าวที่น่าสนใจ ที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคต

  • ส่วนภาคเอกชนไทย ธนาคารกสิกรไทย เริ่มมีการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้แล้วเช่นกันแต่ยังไม่ได้เป็นการใช้ในการแลกเปลี่ยนธุรกรรมทางการเงินในระบบออนไลน์ แต่จะนำมาใช้กับการรับรองเอกสารหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบระบบ โดยโครงสร้างพื้นฐาน Blockchain ที่นำมาใช้ในครั้งนี้มีชื่อว่า “ไฮเปอร์เลจเจอร์” (Hyperiedger) ของบริษัท IBM ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อการประยุกต์ใช้สำหรับองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำงานในมาตรฐานเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว มีลักษณะพิเศษที่สามารถกำหนดสิทธิให้ใช้ได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น (Private Blockchain)
  • ธนาคารกรุงศรีและไออาร์พีซี ประสบความสำเร็จในการโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน นวัตกรรม Krungsri Blockchain’s Interledger แบบเรียลไทม์เป็นครั้งแรกของภาคธุรกิจไทย         ที่มา: Blognone (เผยแพร่วันที่ 28 กันยายน 2560)
  • IBM เผยใช้ Blockchain สำหรับทำสัญญาและโอนเงินข้ามประเทศ ตอบโจทย์ธุรกิจ B2B และ B2C โดยมีกสิกรไทยเข้าร่วมสัญญาและโอนเงินระหว่างกันได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยใช้เทคโนโลยี IBM Blockchain เป็นพื้นฐาน ในการเปิดตัวครั้งนี้ IBM ได้จับมือกับ Stellar.org และ KlickEx Group เพื่อพัฒนาโซลูชันร่วมกัน เพื่อให้การทำสัญญาและการทำธุรกรรมนั้นเกิดขึ้นได้ภายใน Blockchain บน Cloud แบบเกือบ Real-time ปัจจุบันโซลูชันนี้รองรับสกุลเงิน 12 สกุลแล้ว ได้มีการร่วมมือกับธนาคารและสถาบันการเงินหลากหลายประเทศ  รวมถึงกสิกรไทยด้วย โดย World Bank ได้ออกมาวิเคราะห์ว่าเทคโนโลยีที่จะมาปรับปรุงธุรกรรมการจ่ายเงินให้ดีขึ้นในลักษณะนี้จะมีผู้ใช้งานจำนวนมากถึง 1,000 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2020 ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่า IBM จะเข้าไปมีบทบาทในตลาดนี้ได้มากน้อยแค่ไหนในอนาคต      ที่มา: Techtalkthai (เผยแพร่วันที่ 16 ตุลาคม 2560)
  • Massachusetts Institute of Technology (MIT) เริ่มให้บริการ Digital Diploma ใช้ Blockchain ยืนยันการจบหลักสูตรและปริญญาบัตร    MIT ใช้ Blockchain ในการสร้าง Digital Diploma เพื่อใช้ยืนยันว่านักศึกษาได้เรียนจบหลักสูตรหรือได้ปริญญาบัตร และนำไปอ้างอิงได้ผ่าน Mobile Application บน Smartphone เพิ่มเติมจากเอกสารบนกระดาษแบบเดิมๆ  เพื่อให้นักศึกษาที่เรียนจบไปนั้นได้นำปริญญาบัตรของตนไปอ้างอิงได้อย่างง่ายดาย และทำให้การปลอมแปลงสวมรอยอ้างว่าเรียนจบจาก MIT เป็นไปได้ยากขึ้น   ที่มา: Techtalkthai (เผยแพร่วันที่ 27 ตุลาคม 2560)
  • เซอร์ไพรส์วงการ Blockchain เมื่อ Kodak และ LINE ประกาศเตรียมออกเงินดิจิทัลของตัวเอง  วงการเงินดิจิทัลและ Blockchain ยังฮอตไม่หยุด เมื่อบริษัทสาย Traditional อย่าง Kodak ขยับตัวครั้งใหญ่ เดินหน้าเตรียมเปิดตัวเงินดิจิทัลของตัวเองภายใต้ชื่อ KODAKCoin โดย Kodak กล่าวว่า KODAKCoin จะเป็นเงินดิจิทัลที่โฟกัสกับงานภาพถ่าย เพื่อสนับสนุนช่างภาพและ agency ในการควบคุมและจัดการเรื่องลิขสิทธิ์ของภาพถ่ายให้รัดกุมยิ่งขึ้น ซึ่งสกุลเงินดิจิทัลของ Kodak จะเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ช่างภาพได้รับเงินแบบปลอดภัยมากขึ้น และช่วยปกป้องผลงานด้วย นอกเหนือจากการบันทึกลิขสิทธิ์ภาพ KODAKOne ยังให้บริการค้นหา ตรวจสอบการละเมิดลิขสิทธิ์ ที่อาจจะเกิดขึ้นบนเว็บต่างๆ ต่อด้วย และหากตรวจพบการละเมิด ระบบจะช่วยดำเนินการให้เพื่อให้ช่างภาพได้รับการตอบแทนตามที่สมควรได้รับ
  • ขณะที่แอปพลิเคชัน Messenger อย่าง Line ก็ประกาศจะออกเงินดิจิทัลเช่นกัน โดยมีข่าวว่ากำลังหารือพูดคุยกับ partner หลายราย เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่าเดิม นอกจากนัน Line เริ่มประสบปัญหาจากการเสียผู้ใช้บริการบางส่วนไปจาก 218 ล้านคน เหลือ 203 ล้านคนในเดือนตุลาคม 2017 ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ จึงมีความเป็นไปได้ว่า Line จะนำเงินดิจิทัลและระบบ Blockchain มาใช้สำหรับการให้รางวัลผู้ใช้ที่ใช้บริการแชทผ่าน Line messenger หรือใช้บริการ Line Pay  ที่มา: Techsauce (เผยแพร่วันที่ 11 มกราคม 2561)
  • IBM ตั้งบริษัทร่วมทุน Maersk พัฒนา Blockchian สำหรับอุตสาหกรรมขนส่งทางเรือ   IBM ประกาศความร่วมมือกับ Maersk บริษัทด้านขนส่งและเดินเรือรายใหญ่ของโลก ตั้งบริษัทร่วมทุน (joint venture) สำหรับนำ blockchain มาใช้กับเครือข่ายขนส่งทางเรือ บริษัทใหม่จะมีหน้าที่สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการค้าและการขนส่ง เป็นมาตรฐานเปิดที่ให้ทุกบริษัทในวงการชิปปิ้งสามารถใช้งานได้ เป้าหมายคือการลดต้นทุนและความซับซ้อนในการขนส่งสินค้าทางเรือ โดย IBM ระบุว่า blockchain เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะมากสำหรับโจทย์นี้ เพราะการขนส่งทางเรือมีผู้เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก กระจายกันอยู่ทั่วโลก การนำ blockchain มาสร้างฐานข้อมูลกลางสำหรับธุรกรรมที่เกิดขึ้น โดยแชร์ข้อมูลระหว่างกันแต่ไม่มีใครสามารถแก้ไขข้อมูลได้โดยลำพัง ย่อมจะช่วยให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น     ที่มา: Blognone (เผยแพร่วันที่ 17 มกราคม 2561)
  • สรรพากรประเทศจีนจับมือ Tencent เล็งใช้ Blockchain เพื่อป้องกันการหนีภาษี บริษัทด้านเทคโนโลยียักษใหญ่สัญชาติจีนนาม Tencent ได้จับมือกับหน่วยงานเก็บภาษีของเมืองเซินเจิ้นเพื่อที่จะนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในป้องกันการหนีภาษี โดยประกาศระบุว่า แล็บดังกล่าวจะนำการวิจัยเชิงทฤษฎีกับเทคโนโลยีที่เพึ่งกำเนิดขึ้นมาใหม่ เช่น Cloud Computing, Artificial intelligence (AI) , Blockchain และ Big Data มารวมกันเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการเก็บภาษีและ Invoice อิเล็กทรอนิกส์         ที่มา: siamblockchain.com (เผยแพร่วันที่  28 พฤษภาคม 2561)

จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดคงเห็นแล้วว่าเทคโนโลยี Blockchain สามารถสร้างแรงกระเพื่อมครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่ทุกวงการที่ต้องการความโปร่งใสของข้อมูล ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทุกคนรับทราบการเผยแพร่ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูงขึ้น หากตั้งโจทย์การนำไปใช้ให้เหมาะสม เราจะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆต่อไปได้อีกมาก สำหรับผู้อ่านทั่วไปเองก็พอจะมองเห็นได้ว่า  Blockchain สามารถนำไปสร้างประโยชน์ให้แก่ทั้งองค์กร สังคม ไปจนสามารถยกระดับศักยภาพของประเทศได้ด้วย

***ฉะนั้นเราควรศึกษา สร้างการรับรู้ การเตรียมความพร้อม และการสร้างความเข้าใจในเทคโนโลยี Blockchain จะกลายเป็นข้อได้เปรียบของผู้ประกอบการในการคว้าโอกาสใหม่ ๆ เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในการธุรกิจได้อย่างทันยุคสมัยและเกิดประโยชน์มากที่สุด



Credit: https://www.aware.co.th , https://goalbitcoin.com


บทความที่เกี่ยวข้อง

ขุดบิทคอยน์ คืออะไร ? คุ้มค่าไหมที่จะลงมือขุดเอง ?

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!

คนรวยด้วยบิทคอยน์ มีสักกี่คน? มือใหม่อยากรวย ตามมาดูกัน

Blockchain คืออะไร มันเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ได้อย่างไร? ปลอดภัยแค่ไหน?

ช่วงนี้ถ้าเรามีโอกาสได้อ่านข่าวหรือตามข่าว มักจะได้ยินคำว่า  Blockchain และถ้ายิ่งเป็นข่าวเรื่อง Fintech ก็จะยิ่งมีคำว่า  Blockchain  ลอยเต็มไปหมด หลายๆคนก็อาจจะสงสัยว่า  Blockchain จริงๆมันคืออะไรกันแน่? มันเป็นเทคโลยีเปลี่ยนโลก ได้อย่างไร? แล้วทำไมถึงเป็นกระแสที่เราต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิด

วันนี้เราจะให้ทุกคนไปทำความรู้จักกับ เทคโนโลยี  Blockchain ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมาเปลี่ยนแปลงโลก ในระยะเวลาอันใกล้นี้กัน

 Blockchain (บล็อคเชน) คืออะไร?

Blockchain บล็อคเชน คือ ระบบการจัดเก็บข้อมูล หรือ เครือข่ายการจัดเก็บข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ แน่นอนว่าเราสามารถรู้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของข้อมูลที่อยู่ในระบบ และมีสิทธิ์ใช้ข้อมูลพวกนั้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บอยู่ในบล็อค (Block) และเป็นข้อมูลที่เชื่อมโยงกันอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ตคล้ายห่วงโซ่ (Chain) ทำให้การจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบนี้ถูกเรียกว่า Blockchain บล็อคเชน  นั่นเอง

Blockchain (บล็อคเชน) เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมออนไลน์ อย่างไร?

อย่างเมื่อก่อนเวลาที่ เราโอนเงินให้กัน เราก็จำเป็นที่ต้องมีธนาคารเป็นตัวกลางโดยที่เราต้องไปเปิดบัญชีกับธนาคารแล้วจากนั้นถึงโอนเงินหากันได้  ซึ่ง BlockChain ถูกออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอนและตัดคนกลางออกไป เพื่อให้ระบบเกิดความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือที่มากขึ้น เพราะในปัจจุบันระบบของธนาคารก็ถูกท้าทายจาก Hacker มือดีมาโดยตลอด แต่อีกประเด็นนึงก็คือเรื่องของค่าธรรมเนียมที่เราจะจ่ายน้อยลงหรือาจจะไม่ต้องเสียเลยก็ได้

“Blockchain นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยนำมาซึ่งความปลอดภัย น่าเชื่อถือ โดยไม่ต้องอาศัยคนกลาง“

Blockchain ถูกออกแบบมาให้เราสามารถส่งข้อมูลหากันหรือแม้กระทั่งส่งเงินหากันได้ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ เพราะเวลาที่เราส่งข้อมูลไปหายังผู้รับ ข้อมูลนั้นจะถูกเข้ารหัสไว้ แล้ว คนที่สามารถเปิดดูได้ก็จะมีเพียงคนที่รู้รหัสเท่านั้น ซึ่งก็คือผู้รับ นั่นเอง แน่นอนว่าไม่มีค่าธรรมเนียมหรือถ้ามีก็จะต่ำมากๆโดยที่จะเป็นการแชร์เครือข่ายระหว่างผู้ใช้งานกันเอง ไม่ผ่านระบบของตัวกลางอย่างธนาคารนั้นแปลว่าคนที่รู้ข้อมูลหรือเห็นข้อมูลเราก็จะมีเพียงเราและผู้รับที่เราส่งข้อมูลให้เท่านั้น เพราะ  Blockchain คือระบบที่ออกแบบมาให้ผู้ใช้ติดต่อกับผู้ใช้ได้โดยตรง แบบไม่ผ่านตัวกลาง ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นมาจริงๆอาชีพตัวกลางหลายๆธุรกิจก็จะลำบากมากขึ้นให้อนาคต

Bitcoin (บิทคอยน์) กับ Blockchain (บล็อกเชน) เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

Blockchain เป็นเทคโนโลยี ด้านความปลอดภัยของข้อมูล

Bitcoin ว่าด้วยเรื่องสกุลเงินบนโลกดิจิตอล

จะเห็นได้ว่า Blockchain ไม่ใช่ Bitcoin และ Bitcoin ก็ไม่ใช่ Blockchain แต่โมเดล Bitcoin มีความต้องการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ เพื่อให้การซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลนี้ มีความปลอดภัย เพราะว่า Blockchain ว่าด้วยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องได้กับทุกอุตสาหกรรม ไม่เจาะจงเฉพาะ Bitcoin หรือ FinTech เพียงแต่เทคโนโลยีนี้เรียกได้ว่าส่งผลกระทบต่อวงการ FinTech ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน และการบูมของเทคโนโลยีตัวนี้ มาจากความพยายามในการทำ Bitcoin

Blockchain บล็อคเชน จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร?

ยกตัวอย่างที่เห็นชัดๆก็เช่น บิทคอยน์ (Bitcoin) ที่เป็นสกุลเงินดิจิตอล เนื่องด้วยบิทคอยน์ไม่มีเงินจริงๆให้เราจับต้องได้ ดังนั้นเวลาที่เราโอนเงินหากันจึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ามาช่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับบิทคอยน์ เพราะการโอนเงินให้กันก็จำเป็นต้องมีระบบที่น่าไว้ใจได้

หรืออย่างธุรกิจ Startup จะต่างกับ SME ก็ตรงเรื่องการที่เราเอาเทคโนโลยีเข้าไปใส่ธุรกิจดังนั้นส่วนใหญ่ของ Startup มีแนวโน้มที่จะต้องมาใช้เทคโนโลบี Blockchain แน่นอน เพราะทุกอย่างบนโลกแทบจะถูกเปลี่ยนเป็นข้อมูลดิจิตอลได้เกือบทั้งหมด เพราะถ้าเราสแกน กระดาษลงไปให้คอมพิวเตอร์นั้นก็แปลว่าเราได้เปลี่ยนกระดาษเป็นข้อมูลดิจิตอลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และอีกเหุตผลหนึ่งที่ Blockchain ถูกให้ความสนใจมากขึ้นเพราะปัจจุบันประเด็นเรื่องความโปร่งใสของคนกลาง ก็เป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถามกันมากขึ้น ว่าทำไมเราถึงยอมให้ใครเพียงคนใดคนนึงเข้าถึงข้อมูลเราได้อย่างอิสระ จะดีกว่ามั้ยถ้าข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ส่วนตัวจริงๆ แล้วเราจะรู้ได้เฉพาะกับคนที่เราอนุญาตจริงๆเท่านั้น

Blockchain โอกาสหรือความเสี่ยง ?

การที่ Blockchain มีรูปแบบการทำงานแบบกระจายศูนย์ (Distributed), เกือบจะเป็น Real Time, ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการได้ และมีรูปแบบดิจิตอล ซึ่งทำให้เกิดข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

ข้อดี ของ Blockchain

ข้อเสีย ของ Blockchain

·         สามารถลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ หรือในสถาบันการเงิน

·         สามารถจัดการต่อธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่จากศูนย์กลาง

·         มีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ

·         ไม่สามารถลบ หรือกลับไปแก้ไขรายการได้

·         สามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมได้ และวิธีการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ

·         ลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกง และการปลอมแปลงบัญชี

·         รับประกันได้ว่าข้อมูลถูกต้องเชื่อถือได้

·         มีการทำธุรกรรมและบันทึกผลได้แบบ real time

·         ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของงาน back office

·         ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมลดลง

·         นิยมใช้สำหรับการทำธุรกรรมที่มีจำนวนเงินน้อยๆ

·         สร้างโอกาสสำหรับผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ

·         ข้อมูลธุรกรรมในบัญชี distributed ledger จะต้องถูกเปิดเผยให้ทุกคนในวง Blockchain รู้

เนื่องจาก Blockchain ไม่มีตัวกลาง ดังนั้นระบบบัญชีจึงเป็นแบบกระจาย Distributed Ledger คือทุกคนในวงจะมีข้อมูลบัญชี Blockchain ที่เหมือนกัน หากใครมีการ update บัญชีก็ต้องแจ้งให้ทุกคนในวงทราบ

 

·         ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับและนำไปใช้แพร่หลาย สำหรับบุคคลทั่วไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อมูลเกือบจะทุกรูปแบบสามารถแปลงให้อยู่ในรูปข้อมูลดิจิตอลได้ Blockchain จึงสามารถใช้สำหรับกิจกรรมที่แตกต่าง และหลากหลาย เนื่องจากกิจกรรมแทบทุกประเภทของคนเราตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อถือและตรวจสอบได้ ดังนั้น Blockchain จึงสามารถรองรับการซื้อขายสินค้า บริการ หลักทรัพย์ สินเชื่อ ที่ดิน บ้าน ฯลฯ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วมากขึ้น ง่ายกว่าเดิม และมีต้นทุนน้อยกว่าวิธีเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยอย่างมาก

Blockchain (บล็อคเชน) กับประเทศไทย ไปกันได้มั้ย?

สำหรับประเทศไทย แม้ว่าเทคโนโลยี Blockchain จะถือเป็นเรื่องใหม่แต่ด้วยนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ธุรกิจจึงต้องปรับตัวเข้ากับนวัตกรรมใหม่ ๆ ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เริ่มมีนโยบายนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้กับ Startup ทดสอบกระดานการลงทุนเฉพาะกลุ่ม เพื่อเป็นการทดสอบระบบแยกจากการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามถือว่าการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับไทยและยังต้องศึกษาการพัฒนาการใช้เทคโนลียีนี้ต่อไปในอนาคต

ส่วนภาคเอกชนไทย ธนาคารกสิกรไทย เริ่มมีการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้แล้วเช่นกันแต่ยังไม่ได้เป็นการใช้ในการแลกเปลี่ยนธุรกรรมทางการเงินในระบบออนไลน์ แต่จะนำมาใช้กับการรับรองเอกสารหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบระบบ โดยโครงสร้างพื้นฐาน Blockchain ที่นำมาใช้ในครั้งนี้มีชื่อว่า “ไฮเปอร์เลจเจอร์” (Hyperiedger) ของบริษัท IBM ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อการประยุกต์ใช้สำหรับองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำงานในมาตรฐานเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว มีลักษณะพิเศษที่สามารถกำหนดสิทธิให้ใช้ได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น (Private Blockchain)

ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความเคลื่อนไหวก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา “Blockchain” เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่เกิดขึ้นซึ่งมาสร้างความเปลี่ยนแปลงในทุกส่วนของภาคอุตสาหกรรม ฉะนั้นการศึกษา สร้างการรับรู้ การเตรียมความพร้อม และการสร้างความเข้าใจในเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะกลายเป็นข้อได้เปรียบของผู้ประกอบการในการคว้าโอกาสใหม่ ๆ เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในการธุรกิจได้อย่างทันยุคสมัยและเกิดประโยชน์มากที่สุด

แต่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ระบบ Blackchain ก็ยังถูกตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยอยู่เหมือนกันว่าปลอดภัยจริงหรือเปล่า แล้วต่อจากนี้หน้าตาของระบบ BlockChain จะเป็นอย่างไร จะเข้ามาแทนระบบเก่าได้อย่างสมบูรณ์เลยหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป


Hardware wallet สำหรับเก็บบิทคอยน์

Hardware wallet เก็บบิทคอยน์

บทความที่เกี่ยวข้อง

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!

คนรวยด้วยบิทคอยน์ มีสักกี่คน? มือใหม่อยากรวย ตามมาดูกัน




Credit: finance.rabbit.co.th,techsauce.co, siamblockchain.com,