5 เว็บเทรดคริปโตในไทย ปี 2024 ฝากถอนสะดวก และได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.

เว็บไชต์ข้อมูลบริษัทวอลุ่มซื้อขายค่าธรรมเนียมเทรดค่าธรรมเนียมถอน
BinanceTH
เป็นการร่วมทุนระหว่าง Gulf Energy Development (ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย) และ Binance.com มีระบบ Support เป็น Crypto Exchange อันดับ 1 ของโลก

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Binance Thailand ได้ที่นี่
To be updateคู่เหรียญ THB จะไม่เสียค่าธรรมเนียม20 บาทต่อครั้ง
Bitkub
Crypto Exchange อันดับ 1 ของประเทศไทย
ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 90 – 95%

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Bitkub ได้ที่นี่
56 ล้านดอลลาร์0.25%20 บาทต่อครั้ง
Bitazza
นอกจากเป็น Exchange แล้ว ยังมีบริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของโบรกเกอร์ และเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ได้การรับรองจาก ก.ล.ต.

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Bitazza ได้ที่นี่
11 ล้านดอลลาร์0.25%20 บาทต่อครั้ง
innovestX
แอปพลิเคชันด้านการลงทุนโดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เปิดบัญชีลงทุนครั้งเดียว ลงทุนได้หลายสินทรัพย์

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ innovestX ได้ที่นี่
6 ล้านดอลลาร์0.20% 20 บาทต่อครั้ง
SCB ถอนฟรี
Orbix
ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้ร่วมทุนรายใหญ่ มีระบบช่วยคำนวณต้นทุนเหรียญแบบอัตโนมัติ เช็กผลกำไรขาดทุนได้แบบเรียลไทม์

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Orbix ได้ที่นี่
2แสน ดอลลาร์0.25%20 บาทต่อครั้ง

**ควรสมัครไว้หลายๆเว็บเทรด เพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะเวลาเอาเงินเข้า เงินออกจะได้ใช้อันไหนก็ได้ที่สะดวกและเรทดีตอนนั้น


1. Binance TH

เว็บเทรด ไบแนนซ์ ไทย
ข้อดีข้อด้อย
+ Binance TH ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต.
+ น่าเชื่อถือ เพราะร่วมทุนกับ Gulf Energy ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย
+ รองรับภาษาไทย ทำให้ใช้งานง่าย
+ เทรดได้ 110 คู่เหรียญ
+ เทรดคู่เหรียญบาท THB จะไม่เสียค่าธรรมเนียม
– เป็นเว็บเทรดน้องใหม่ ยังมีปริมาณการซื้อขายไม่มาก
– Functions ของ Binance TH จะน้อยกว่าฝั่ง Global โดยจะไม่มีพวก Staking หรือการเทรด Future, Option เป็นต้น

2. Bitkub

เว็บเทรดบิทคับ

Bitkub ถือเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับ 1 ของประเทศไทย ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2018 ภายใต้การบริหารของคนรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เป็นเจ้าแรกที่ให้บริการเทรดผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือทั้งในระบบ Android และ iOS จึงสามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีทีมงานที่พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน ส่งผลให้ Bitkub เป็นเว็บเทรดคริปโตที่มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้สูงถึง 90 – 95% ระบบการเทรดใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน แม้แต่มือใหม่ก็ใช้งานได้สะดวก

ข้อดีข้อด้อย
+ เป็นเว็บเทรดอันดับ 1 ในประเทศไทย
+ บริหารโดยทีมผู้บริหารรุ่นใหม่
+ ระบบการเทรดง่าย ไม่ซับซ้อน
+ เทรดได้ 100 คู่เหรียญ
– สามารถเทรด Spot ได้อย่างเดียวเท่านั้น
– ค่าธรรมเนียมแพง 0.25%  ต่อครั้ง
– บางช่วงระบบไม่เสถียร ทำให้ตอนตลาดเกิดความผันผวนรุนแรง ระบบจะค้างได้

3. Bitazza

เว็บเทรด Bitazza

Bitazza เป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ได้การรับรองจาก ก.ล.ต. แต่รูปแบบการให้บริการจะแตกต่างจากแพลตฟอร์ม Exchange โดย Bitazza จะให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของโบรกเกอร์ หรือนายหน้า จึงสามารถส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าไปยังศูนย์ซื้อขาย (Exchange) ทั่วโลกได้แบบเรียลไทม์ ทำให้มีสภาพคล่องสูง มีคู่เหรียญที่หลากหลาย สามารถซื้อขายเหรียญด้วยสกุลเงินบาทได้ หากมีปัญหาในการใช้งานก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ข้อดีข้อด้อย
+ เป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ได้การรับรองจาก ก.ล.ต.
+ การฝากหรือถอนก็ทำได้อย่างรวดเร็ว
+ คู่เหรียญที่หลากหลาย เทรดได้ 100 คู่ เหรียญ
+มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม รวมถึงระบบ KYC
และใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยจากบริษัทชั้นนำอย่าง Ledger ดีไซน์
– สามารถเทรด Spot ได้อย่างเดียวเท่านั้น
– ค่าธรรมเนียมแพง 0.25%  ต่อครั้ง



4. innovestX  

เว็บเทรด InnovestX

มาต่อกันที่แอปพลิเคชันด้านการลงทุนที่ครบครันสุดๆ อย่าง innovestX ซึ่งมีบริษัท SCBx เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จุดเด่นคือรูปแบบการใช้งานที่ง่ายสำหรับมือใหม่ โดยมีเทคโนโลยีอัจฉริยะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนให้อัตโนมัติ หรือสามารถเลือกแผนการลงทุนที่ต้องการ เช่น ลงทุนตามกูรูชั้นนำ ลงทุนตามเมกะเทรนด์ทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้นยังรวมสินทรัพย์หลายประเภทไว้ในที่เดียว จึงสามารถเทรดคริปโตไปพร้อมกับการลงทุนในหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน หรือตราสารหนี้ได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องลงทะเบียนซ้ำๆ ช่วยกระจายความเสี่ยง ทำให้มองเห็นภาพรวมของการลงทุน และบริหารจัดการพอร์ตได้ดียิ่งขึ้น

ข้อดีข้อด้อย
+ มีรูปแบบการใช้งานที่ง่ายต่อการเข้าใช้งาน
ทำให้เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับการลงทุน
+ มีเทคโนโลยีอัจฉริยะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนให้อัตโนมัติ
+ สามารถในการเทรดหลากหลายสินทรัพย์
+ มีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
และมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูง.
– ค่าธรรมเนียมแพง 0.20%  ต่อครั้ง
– อาจมีข้อกำจัดในการถอนเงิน
– บางคนอาจพบว่าระบบของ innovestX มีความซับซ้อนมากเกินไป

5. Orbix

เว็บเทรด Orbix

อีกหนึ่งเว็บเทรดคริปโตน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่เป็นที่น่าจับตามองอย่างมากก็คือ Orbix เพราะเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท ยูนิต้า แคปิทัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย โดยทำการเทคโอเวอร์มาจากเว็บเทรด Satang Pro ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2017 จึงมีการปรับโฉมครั้งใหญ่ และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะ เพื่อยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เช่น Price Alert ที่นักเทรดสามารถตั้งเตือนราคาเหรียญได้ จึงไม่ต้องเสียเวลาเฝ้าจอ และ Orbix Balance ที่ช่วยคำนวณต้นทุนเหรียญแบบอัตโนมัติ เช็กผลกำไรขาดทุนได้แบบเรียลไทม์

ข้อดีข้อด้อย
+เป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย ทำให้มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักในวงการการเงิน
+ มีการปรับโฉมจากเว็บเทรด Satang Pro ทำให้ Orbix มีฐานผู้ใช้ที่มั่นคง
+ มีฟีเจอร์ Price Alert ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถตั้งเตือนราคาเหรียญได้
– เป็นเว็บเทรดน้องใหม่ ยังมีปริมาณการซื้อขายไม่มาก
– ค่าธรรมเนียมแพง 0.25%  ต่อครั้ง

อัปเดตเว็บ เทรดคริปโต ในไทยที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ปี 2024

เพื่อให้นักลงทุนมีทางเลือกในการเทรดที่หลากหลาย เราจึงได้รวบรวมเว็บเทรดคริปโตที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. มาฝาก ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 10 ราย เปิดให้บริการ 8 ราย ถูกระงับ 1 รายและยังไม่เปิดให้บริการอีก 1 ราย

ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กลต

  • ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange)​
  • บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด (GULF BINANCE)
  • บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (INVX)
  • บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BITKUB)              
  • บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด (ORBIX TRADE)
  • บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด (TDX)
  • บริษัท จีเอ็มโอ-แซด.คอม คริปโทนอมิคซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Z.COMEX)                 
  • บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด (UPBIT)
  • บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (ZIPMEX) **ถูกระงับการให้บริการ จาก กลต ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567
  • บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด (ERX)
  • บริษัท วาฬ เอ็กเชนจ์ จำกัด (WAANX) **ยังไม่เปิดให้บริการ

ส่วนผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของนายหน้า หรือโบรกเกอร์ ปัจจุบันมีทั้งหมด 12 ราย เปิดให้บริการ 10 ราย ถูกระงับ 1 รายและยังไม่เปิดให้บริการอีก 2 ราย

ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กลต

ข้อมูลข่าวจาก https://www.thaipbs.or.th/news


วิธีเลือกเว็บเทรดคริปโต ต้องดูอะไรบ้าง ?

  • ความน่าเชื่อถือ

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกในการเลือกเว็บเทรดคริปโตก็คือ ความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ จึงควรศึกษาข้อมูลให้ดีว่าเจ้าของเป็นใคร เปิดให้บริการมานานหรือยัง อ่านรีวิวหรือประสบการณ์ของผู้ใช้งานคนอื่นๆ หรือง่ายๆ เลยก็คือเลือกเว็บเทรดคริปโตที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่า หากเกิดปัญหานักลงทุนก็ยังได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

  • ความเสถียรของระบบ

การเทรดคริปโตต้องอาศัยจังหวะเวลา ลองคิดภาพตามดูว่า เมื่อมูลค่าของเหรียญอยู่ในช่วงราคาที่เราต้องการ แต่กลับกดซื้อไม่ได้ ฝากเงินไม่ได้ กว่าระบบจะกลับมาทำงานเป็นปกติราคาก็อาจจะสูงกว่าเดิมไปเยอะแล้ว ทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะฉะนั้นเว็บเทรดคริปโตที่ดีจึงต้องมีระบบที่เสถียร และอย่าลืมศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฝาก-ถอนเงินด้วย เช่น ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ หรือมีขั้นต่ำเท่าไหร่ เป็นต้น

  • ความปลอดภัย

เว็บเทรดคริปโตมีโอกาสถูกโจมตีจากแฮ็กเกอร์ได้ เพราะฉะนั้นจึงควรตรวจเช็กระบบรักษาความปลอดภัยของเว็บว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เคยถูกแฮ็กหรือเปล่า มีระบบป้องกันการแฮ็กหรือโจรกรรมข้อมูลอย่างไรบ้าง เช่น มีระบบยืนยันตน 2 ชั้น (Two-factor Authentication), มีการเข้ารหัส SSL (https) เป็นต้น

  • ค่าธรรมเนียมต่ำ

เทรดมาตั้งนาน ทำไมกำไรน้อยจัง ? หลายคนมีคำถามแบบนี้ เพราะลืมสังเกตว่าเว็บเทรดคริปโตที่ใช้บริการนั้นคิดค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ โดยปกติแล้วแต่ละเว็บจะคิดค่าธรรมเนียมในการซื้อขายต่อครั้ง ในอัตราที่แตกต่างกันออกไป เฉลี่ยประมาณ 0.05% – 0.25% และยังอาจมีค่าธรรมเนียมในการฝากถอนเหรียญด้วย

  • จำนวนเหรียญ

จริงอยู่ที่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะเทรดเหรียญยอดนิยม ซึ่งเหรียญเหล่านี้ก็มีแทบทุกเว็บ แต่การเลือกเว็บที่มีเหรียญหลากหลาย ก็เหมือนเป็นการเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นยิ่งมีเหรียญให้เทรดเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ไม่แน่ว่าในอนาคตเหรียญเหล่านั้นอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวก็เป็นได้  

  • สภาพคล่อง

เว็บเทรดคริปโตที่มีสภาพคล่องสูง หรือมีผู้ใช้งานจำนวนมาก ย่อมดีกว่าเว็บที่ผู้ใช้งานน้อย เพราะเมื่อจำนวนนักเทรดมากขึ้น จะซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ก็ทำได้ง่ายกว่า ความคลาดเคลื่อนระหว่างราคาที่คาดหวังกับราคาซื้อขายจริง (Slippage) ก็จะต่ำลงด้วย โดยสังเกตได้ง่ายๆ จาก Volume หรือปริมาณการซื้อขายบนกระดานเทรดในแต่ละวัน

  • ฟังก์ชันการใช้งาน

เว็บเทรดคริปโตของแต่ละที่มีการออกแบบดีไซน์หน้าตาของเว็บไซต์ และ UI/UX รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานไม่เหมือนกัน จะเลือกเว็บไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคล แต่โดยรวมแล้วการออกแบบควรมีความเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน สีสันสบายตา ตัวอักษรอ่านง่าย และมีฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเทรดได้มากขึ้น เช่น มีฟังก์ชันแจ้งเตือนราคา, มีอินดิเคเตอร์หลากหลาย, มีฟังก์ชันช่วยบริหารพอร์ต เป็นต้น

  • ติดต่อง่าย

ระหว่างการใช้งานเว็บเทรดคริปโต อาจเกิดปัญหาได้โดยเฉพาะมือใหม่ หรือบางทีระบบที่ว่าเสถียรก็ยังขัดข้องได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นการที่ผู้ให้บริการมีช่องทางติดต่อที่หลากหลาย ติดต่อได้ง่าย หรือตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยสร้างความอุ่นใจให้นักลงทุนมากขึ้น


คำถาม – คำตอบ ที่ควรรู้ ก่อนเข้าสู่สนาม เทรดคริปโต

Q: คริปโตกับโทเคนต่างกันอย่างไร ?

A:  คริปโตและโทเคนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเหมือนกัน แต่คริปโตเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีจำนวนจำกัด มูลค่าของเหรียญจึงแปรผันตามปริมาณของเหรียญ และความต้องการของตลาด เหรียญที่เป็นที่นิยมมากจึงมีราคาสูง สามารถใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้เหมือนเงินสด ตัวอย่างเหรียญคริปโต เช่น Bitcoin, Ethereum, Dogecoin ส่วนโทเคนนั้นไม่ได้สร้างขึ้นบนบล็อกเชนของตัวเองโดยตรง แต่มาจากบล็อกเชนของสกุลเงินดิจิทัลอื่น และใช้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างโดยเฉพาะ เช่น ใช้แสดงสิทธิในการร่วมลงทุนและรับเงินปันผล, สิทธิในส่วนแบ่งรายได้, สิทธิในการใช้งานแพลตฟอร์ม, สิทธิในการโหวต หรือใช้ในการระดมทุนแบบ ICO (Initial Coin Offering) เป็นต้น ตัวอย่างโทเคน เช่น Tether, Yearn Finance, Uniswap เป็นต้น

Q: การ เทรดคริปโต ต่างจากการลงทุนในหุ้นหรือไม่ ?

A: ภาพรวมของการเทรดคริปโตกับการลงทุนในหุ้นค่อนข้างคล้ายกัน เพราะมูลค่าของเหรียญหรือหุ้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด แต่จุดที่แตกต่างคือ ตลาดหุ้นมีเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจน แต่คริปโตไม่มี จึงมีการซื้อขายตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง ทำให้มีความผันผวนมากกว่า นอกจากนี้ผู้ที่เทรดคริปโตก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากเท่ากับการซื้อหุ้น เพราะสามารถซื้อเป็นหน่วยย่อยได้ เช่น ปัจจุบัน Bitcoin ราคาประมาณ 1,600,000 บาทต่อเหรียญ เราจะซื้อแค่ 0.001 ในราคา 1,600 นิดๆ ก็ได้

Q: กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์คืออะไร จำเป็นต้องมีหรือไม่ ?

A: การเก็บเงินสดทั้งธนบัตรและเหรียญยังต้องใช้กระเป๋า เงินดิจิทัลก็เช่นเดียวกัน แม้จะจับต้องไม่ได้ แต่ต้องมีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้เก็บ Public key และ Private key ที่ใช้ในการเข้าถึงและจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพแฮ็กข้อมูลไปได้ โดยกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์จะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ Hot Wallet หรือ Software Wallet ซึ่งจะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทุกครั้งที่ใช้งาน และ Cold Wallet หรือ Hardware Wallet ที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต หน้าตาจะเหมือนกับ USB เมื่อต้องการใช้งานก็สามารถเสียบเข้ากับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือมือถือได้เลย ความปลอดภัยสูงกว่า แต่ราคาก็สูงกว่าด้วยเช่นกัน

Q: เลือกเหรียญคริปโตอย่างไรดี ?

A: สำหรับมือใหม่หลายคนอาจจะไม่มั่นใจว่าควรเลือกเหรียญไหนดี เพราะปัจจุบันก็มีสกุลเงินดิจิทัลมากมาย แต่หากนึกย้อนไปถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อมูลค่าของเหรียญ ซึ่งก็คือความต้องการของตลาด เราก็ควรเลือกเหรียญที่อยู่ในกระแสนิยม เป็นที่สนใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ โดยอาจจะสังเกตจาก Volume หรือปริมาณการซื้อขายบนเว็บเทรดคริปโตชั้นนำ หรือใช้อินดิเคเตอร์ต่างๆ เข้ามาช่วย ทั้งนี้ควรศึกษาข้อมูลของเหรียญ เช่น ผู้สร้าง ความน่าเชื่อถือ โอกาสเติบโตในอนาคต รวมถึงมูลค่าเหรียญย้อนหลัง เพื่อเข้าซื้อให้ถูกจังหวะ

สิ่งสำคัญสำหรับมือใหม่ที่ต้องการลงทุนในคริปโตก็คือ การศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทั้งในเรื่องของการลงทุนเอง รวมถึงเรื่องของการใช้งาน อย่างเช่นการเลือกเว็บเทรดคริปโต จะเลือกแค่เพราะเป็นเว็บที่มีเหรียญที่ต้องการ หรือเน้นใช้งานง่ายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน ยิ่งปัจจุบันมีกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำเว็บเทรดปลอมขึ้นมาหลอกลวงผู้อื่น ก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะฉะนั้นก่อนเทรดอย่าลืมนำเทคนิคดีๆ เหล่านี้ไปใช้ และคอยติดตามข่าวสารข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ จะได้เทรดอย่างมั่นใจ ปลอดภัย ไร้กังวล


บทความที่เกี่ยวข้อง

5 กระเป๋าบิทคอยน์ Hardware Wallet ปลอดภัย และน่าเชื่อสุดในปี 2023

3 เว็บเทรดคริปโต ต่างประเทศ มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2023

เจาะลึกพื้นฐาน บิทคอยน์ พร้อมแนวโน้มปี 2024 ยังน่าซื้ออยู่ไหม ?

9 เรื่อง ที่มือใหม่ต้องรู้ก่อนซื้อ คริปโต


“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team