Tag: บิทคอยน์ ผิดกฎหมายไหม

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!

ลงทุนบิทคอยน์กระแสความนิยมของ Bitcoin และ Alcoin เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ราคาบิทคอยน์นับวันจะยิ่งสูงขึ้นทะลุดาวอังคาร ทำ New high ทุกวัน ล่าสุด 1 บิทคอยน์ มีค่าเท่ากับ 320,000 บาท ($9953) ข้อมูลจาก Coinmarketcap.com วันที่ 28 พฤศจิกายน 2560

การลงทุนบิทคอยน์ หรือ Cryptocurrency ตัวอื่นๆ จึงเริ่มเป็นอะไรที่คนทั่วโลกสนใจ ทำให้เกิดการดึงดูดให้คนที่ไม่ได้ศึกษา และไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจที่แท้จริงเข้ามาลงทุน ลงเงินในแวดวงสกุลเงินดิจิตอลนี้  คนเหล่านี้อาจจะโดนหลอกลวงโดยนำบิทคอยน์ มาบังหน้าได้ และเมื่อเกิดการโกงที่มากขึ้น ข่าวแย่ๆเหล่านี้จะส่งผลร้ายแรงต่อภาพลักษณ์ของ บิทคอยน์ ในสายตาของคนส่วนมาก ยิ่งทำให้คนต่อต้านการลงทุนบิทคอยน์ มากขึ้น

ในบทความนี้ Goalbitcoin จะมาสร้างภูมิคุ้มกันให้มือใหม่ทุกๆท่าน ปลอดภัยจากภัยหลอกลวงอันตรายจากการลงทุนในบิทคอยน์ และเหรียญ Cryptocurrency อื่นๆกัน  รูปแบบกลโกงแฝงจากการนำบิทคอยน์ และ Cryptocurrency มาใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวง ฉ้อโกงนั้น หลักๆแล้วมักจะมีอยู่ 6 ประเภทด้วยกัน คือ

 

1.เว็บเทรดบิทคอยน์ หลอกลวง (Fake Bitcoin Exchange)

การเทรดบิทคอยน์ หรือ Cryptocurrency อื่นๆ เป็นช่องทางการลงทุนที่ง่ายที่สุด แต่เสี่ยงมากเช่นกัน เมื่อเจอภาวะผันผวนของตลาด ปัจจุบันมี เว็บเทรด Bitcoin  เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญผุดขึ้นมามากมายทั่วโลก สำหรับมือใหม่หลายคน ยังไม่ได้ศึกษาให้ดี ไม่รู้จะเลือกเทรดบิทคอยน์ที่ไหน อาจจะทำให้เลือกเว็บเทรดปลอม ที่หลอกลวงนักลงทุน เกิดปัญหาในการโอนเหรียญออกไม่ได้ ไม่มี Support ช่วยเหลือ หรือไม่ยอมจ่ายเหรียญได้

 ในโลกออนไลน์มีเว็บเทรดจำนวนมากก็จริง แต่เว็บเทรดที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงมีอยู่ไม่กี่เจ้า

วิธีป้องกันตัวเองเว็บเทรดบิทคอยน์ หลอกลวง

  • ศึกษาที่มาที่ไปของบริษัทเว็บเทรด และดูประวัติเจ้าของบริษัท CEO ว่าเคยมีข่าวเสียหายหรือไม่ และจดทะเบียนมานานแค่ไหน ผลประกอบการเป็นอย่างไร ได้รับการรับรองอนุมัติจากประเทศนั้นๆหรือไม่
  • ศึกษาข้อมูลความโปร่งใสของบริษัท ว่ามีการแจกแจงชัดเจน เช่น https://bx.in.th/info/transparency/ แบบนี้หรือไม่ และถ้ามีแล้ว ให้เข้าไปตรวจสอบด้วยว่าข้อมูลเหล่านี้จริงเท็จแค่ไหน เราอาจจะเจอกรณีแปลกๆที่ปริมาณเหรียญที่เทรดๆกันอยู่ อาจจะมากกว่าปริมาณที่เว็บเทรดถือไว้ ณ ปัจจุบันก็ได้
  • ดูระบบความปลอดภัยที่เว็บเทรดนั้นๆมีให้ ถ้ามีระบบอย่าง 2 Factor Authentication หรือ SMS Verification และมาตรการความปลอดภัยที่ดูมีมาตรฐานเป็นสากล ก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าไม่มี หรือมีแค่ไม่กี่อย่างและทำงานได้ไม่ดีด้วย ก็ให้เพิ่มความระมัดระวัง
  • นำเหรียญที่อยู่ในเว็บเทรดออกไปเก็บใน Wallet ที่ปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ เพราะถึงแม้เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม ก็มีโอกาสถูกขโมยเหรียญจากเว็บเทรดได้  อย่างเช่น MTGOX บริษัทใหญ่ที่เคยเป็นอันดับหนึ่งในการเทรดบิทคอยน์ ถูกขโมยเหรียญ ทำให้บริษัทต้องถูกฟ้องล้มละลาย

3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีการซื้อขายสูงสุดปี 2020

ใครที่อยากลองเทรดในตลาดต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง บทความนี้ เรามาดูกันว่า 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2020 มีเจ้าไหนบ้าง ไปดูกัน

อ่านต่อที่นี่

2.กระเป๋าบิทคอยน์ปลอม (Fake Bitcoin Wallets)

ในช่วงหลังๆมานี้ การใช้กระเป๋าอิเล็กทรอนิคสำหรับเงินดิจิตอลต่างๆ หรือที่เรียกว่า วอลเล็ท (wallet ) มีความนิยมเพิ่มมากขึ้นมาก จึงทำให้พวกแฮกค์เกอร์ต่างๆจ้องที่จะฉกข้อมูลการเข้า wallet ของเหรียญชนิดต่างๆของเรา โดยส่วนมากพวกนี้จะส่งข้อความเข้ามาในอีเมล์เรา หลอกให้เราคลิ๊กลิงค์ โดยการส่งข้อความประมาณว่า บัญชี wallet ของเราจะถูกปิดถ้าเราไม่เข้าไปยืนยันตัวเอง ทั้งที่เรายืนยันตัวตนแล้ว หรือประมาณว่าเว็บไซต์มีการอัพเดท อะไรประมาณนี้ทั้งนี้ ขอให้ทุกท่านโปรดตรวจสอบ ที่อยู่ผู้ส่งอีเมลล์ที่ส่งมาให้เรา ว่าเป็นของทางเว็บจริงหรือไม่ บางทีแค่ชื่ออีเมลล์ที่ส่งมา ตัวอักษรขนาดเล็กหรือใหญ่ ก็ทำให้เปลี่ยนเป็นคนละเว็บไซต์แล้ว

ดังตัวอย่างเช่น  จากตัวอย่าง blogchain.Info อันที่จริงควรจะเป็น blockchain.info

 

วิธีป้องกันตัวจากกระเป๋าบิทคอยน์ปลอม

  • ศึกษาข้อมูลของบริษัทกระเป๋าบิทคอยน์ให้ดี ว่ามีความน่าเชื่อถือ ปลอดภัย สามารถเข้าไปเช็ครายชื่อกระเป๋าที่น่าเชื่อถือที่ Bitcoin.org
  • ตรวจสอบลิงค์ให้แน่ใจ ว่าใช้ลิงค์จากบริษัทกระเป๋าจริงๆ
  • กระเป๋าแบบฮาร์ดแวร์มีความปลอดภัยและสะดวกสบาย ถึงแม้ว่าตัวเครื่องอุปกรณ์จะหาย ถูกขโมย หรือชำรุด หากเรามีการสร้างรหัสแบคอัพสำรองไว้ บิทคอยน์ก็จะไม่หายไปไหน กระเป๋าแบบฮาร์ดแวร์เปรียบเสมือนห้องนิรภัยใต้ดินของเรา ถ้าใครมีบิทคอยน์มาก ๆ ก็ควรที่จะเลือกเก็บบิทคอยน์ ในกระเป๋าแบบฮาร์ดแวร์ แทนกระเป๋าแบบออนไลน์

รวบรวม กระเป๋าบิทคอยน์ ประเภทต่าง ๆที่คุณควรรู้

ในการใช้งานจริง สิ่งที่ต้องเก็บรักษาอย่างปลอดภัยไม่ใช่ตัวบิทคอยน์โดยตรง แต่เป็นกุญแจส่วนตัวของแต่ละคนที่ใช้อนุมัติการทำธุรกรรมบิทคอยน์ แต่ละกระเป๋าสตางค์จะมีโค๊ดยาวๆเป็นตัวอักษรสลับตัวเลข เรียกว่า Address เป็นบัญชี แบบฝาก และถอน เวลาใครจะส่งบิทคอยน์มาให้เรา เราก็ให้ Address แบบฝากได้เลยค่ะ ในทางกลับกัน ถ้าเราจะส่งเงิน เราก็ต้องมี Address แบบถอน การฝากถอนทำได้ง่าย และรวดเร็วมาก

>>>อ่านต่อ ที่นี่<<<

3.โจรกรรมข้อมูลทางเว็บไซต์ หรือ อินเตอร์เน็ต (Phishing Scams)

เว็บไซต์หลอกลวงเป็นภัยทางอินเตอร์เน็ตที่จะแอบอ้างเป็นธนาคาร เว็บไซต์บริการด้านธุรกรรม หรือบริการชำระเงินออนไลน์ที่คุณใช้บริการอยู่ เพื่อหลอกเอาข้อมูล Password หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆในการเข้าถึงบัญชีกระเป๋าของคุณ

วิธีป้องกันตัวจากโจรกรรมข้อมูลทางเว็บไซต์

ต่อไปนี้เป็นวิธีการง่ายๆและรวดเร็วที่จะทำให้บัญชีของคุณปลอดภัยจากมิจฉาชีพ

1) ตรวจสอบ URL หรือลิงค์โดยละเอียดก่อนกดเข้าไป

พวกเว็บไซต์หลอกลวงต่างๆมักจะสร้างลิ้งค์เว็บไซต์ปลอมที่ดูคล้ายคลึงกับเว็บไซต์ที่คุณใช้บริการอยู่ ควรตรวจสอบให้ละเอียดก่อนกดเข้าไปว่าเป็นลิ้งค์เว็บไซต์ที่ใช้งานอยู่จริงและสังเกตว่าหน้าเว็บไซต์ที่ปรากฏแตกต่างจากเว็บไซต์ที่ใช้งานอยู่ปกติหรือไม่ หากเข้าไปในเว็บนั้นแล้ว อย่ากรอกข้อมูลใดๆลงไป

2) กรอกข้อมูลส่วนบุคคลในเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เท่านั้น

HTTPS เป็นกระบวนการที่ใช้ในเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เพื่อการติดต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตที่ปลอดภัย เมื่อใดก็ตามที่กรอกข้อมูลส่วนตัวหรือทำธุรกรรม ต้องแน่ใจว่ามีสัญลักษญ์รูปแม่กุญแจปรากฏอยู่ที่สเตตัสบาร์ร่วมกับ “https:” เสมอ โดยตัว s นั้นย่อมาจาก secure

3) ตั้งพาสเวิร์ดที่คาดเดาได้ยาก

โดยปกติเรามักใช้ username และพาสเวิร์ดเดิมซ้ำๆกันในหลายบัญชีที่เราสมัคร และนี่คือช่องโหว่ที่ก่อให้เกิดการโจรกรรมข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตได้ ดังนั้น เวลาตั้งพาสเวิร์ดควรกำหนดให้มีความซับซ้อนและคาดเดาได้ยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบัญชีที่มีข้อมูลสำคัญหรือข้อมูลทางการเงิน

4) เปิดการใช้งานเครื่องมือ two-factor authentication (2FA) กับบัญชีของคุณ

Two-factor authentication (2FA) หรือเครื่องมือยืนยัน 2 ขั้นตอน เพิ่มความปลอดภัยให้บัญชีของคุณมากยิ่งขึ้น ด้วยการยืนยันเพื่อความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นอีกขั้น บัญชีของคุณจะถูกโจรกรรมข้อมูลได้ยากยิ่งขึ้น คุณสามารถเปิดการใช้งาน 2FA สำหรับบัญชี coins.co.th ได้ เพียงแค่เข้าไปที่ Account Settings(การจัดการบัญชี)แล้วเปิดใช้ด้วยแอพพลิเคชั่น Google Authenticator

5) หลีกเลี่ยงการติดตั้งโปรแกรมหรือโปรแกรมเสริมที่ไม่น่าเชื่อถือลงในคอมพิวเตอร์

ติดตั้งและอัพเดทโปรแกรมแอนตี้ไวรัส, ไฟร์วอลล์(Firewall-เครื่องมือที่ใช้ในการป้องกันเน็ตเวิร์กจากการสื่อสารทั่วไปที่ไม่ได้รับ อนุญาต)รุ่นล่าสุดลงในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวหรือคอมพิวเตอร์สำนักงาน เปิดใช้งานโปรแกรมเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ




4.การลงทุนแชร์ลูกโซ่โดยใช้ Cryptocurrency (Ponzi Scams)

หลาย ๆ ครั้งเราคงได้พบกับเพื่อนสนิท หรือคนรู้จัก สักคนที่ชอบมาแนะนำการลงทุนที่ดีให้กับเรา ทั้งการบอกว่านี่เป็นโอกาสที่จะสร้างอนาคตให้ตัวเอง หรือแม้แต่บอกว่าต้องการแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับเรา และหลายครั้งอีกเช่นกันที่เรามักจะเผลอเชื่อใจคนสนิทและลงทุนไปกับการลงทุนที่ “ดูท่าทาง” จะไปได้สวย บางธุรกิจนั้นดูดีและน่าเชื่อถือจริง ๆ แถมยังมีคนดังๆ ผู้เชี่ยวชาญร่วมลงทุนในโครงการนี้ไปอีกตั้งเยอะ ในเมื่อคนที่มีความรู้มากกว่าเรายังลงทุนไปกับโครงการนี้ แล้วทำไมเราถึงไม่ลงทุนตามเขาไป ดูยังไงโอกาสกำไรก็เห็นอยู่ชัด ๆ

ซึ่งทุกครั้งการต้มตุ๋นทางการเงินเองก็มีจุดประสงค์ให้เราเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ เพื่อจะทำการหลอกลวงเงินจากผู้ลงทุนจำนวนมากมาย ก่อนที่จะเชิดเงินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตา (กับความซวยและหนี้) ของนักลงทุนที่ไม่ใส่ใจกับการลงทุนของตนเอง โดยการต้มตุ๋นเหล่านี้หลายครั้งสามารถลอยนวลอยู่ได้นับสิบปี และกวาดเงินไปได้หลายพันล้านเลยทีเดียว

 

วิธีป้องกันตัวจากการลงทุนแชร์ลูกโซ่โดยใช้ Cryptocurrency

  • อยากให้ทุกท่านฉุกคิด และทำความเข้าใจว่า การลงทุนไม่ว่าอะไรก็ตาม แม้แต่สุดยอดนักลงทุน ก็ต้องมีจังหวะขาลงที่ขาดทุนบ้าง การที่เราเจอกับโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่มีแต่ได้กับได้ ด้วยกำไรที่สูงและสม่ำเสมอนั้น แทบเป็นไปไม่ได้จริง
  • การลงทุนที่สำเร็จไม่ใช่การที่เราชนะตลอด ไม่ใช่การที่เราหยั่งรู้ได้ล่วงหน้าอย่างถูกต้องแม่นยำว่าควรจะลงทุนกับอะไรในจังหวะไหน แต่การกระจายและจัดการกับความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดและรอบคอบต่างหากที่สร้างความสำเร็จให้กับการลงทุน เพราะเราไม่สามารถตอบได้เลยว่าเราจะได้หรือเราจะเสียกันแน่

3 คดีดังแชร์ลูกโซ่ ล่าเหยื่อ“คนอยากรวย” (รู้ทันการต้มตุ๋นทางการลงทุน)

วันนี้จะขอเล่าถึงการต้มตุ๋นทางการลงทุน รูปแบบที่เคยส่งผลกระทบต่อผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็คือ กลยุทธ์ต้มตุ๋นแบบพอนซี (Ponzi’s Scheme) และ แบบปิรามิด (Pyramid Scheme) นั่นเอง พร้อมทั้ง 3 คดีดัง ที่ยังคงเป็นที่กล่าวถึงในปัจจุบัน

>>>อ่านต่อ ที่นี่<<<

5.Cloud Mining ปลอม (Fake Cloud mining)

Cloud Mining ถือเป็นสิ่งที่สร้างความสะดวกสบายให้กับนักลงทุน Cryptocurrency ระดับเริ่มต้นที่สนใจการขุดเหรียญได้เป็นอย่างดี โดยการที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลา และทรัพยากรในการดูแลเหมืองขุดของเราเอง แต่เราจะทำการซื้อหรือเช่ากำลังขุดจากเหมือง Cloud Mining นี้ สำหรับบางที่ มีการเปิดเผยชัดเจนว่าเหมืองอยู่ที่ไหน มีการถ่ายวีดีโอทัวร์รอบโรงงาน แต่สำหรับบางเจ้าก็ไม่ได้มีการเปิดเผยที่ภาพถ่าย โดยที่ Cloud Mining บางเจ้าก็อาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของกำลังขุดที่ปล่อยขายอยู่ 100% บางส่วนอาจจะทำการซื้อกำลังขุดมาจาก Cloud Mining เจ้าอื่นก็ได้ แต่ยังไงก็ตาม Cloud Mining ก็เป็นการลงทุนที่เสี่ยง ถึงแม้เจ้าที่เราลงเงินไปจะมีชื่อเสียงก็ตาม แต่ไม่ได้แปลว่าเขาพลาดไม่ได้ หรืออย่างล่าสุด Cloud mining สายเสี่ยง ที่ชื่อ bitpetite ก็ปิดเว็บหนี พร้อมกับเหรียญที่นักลงทุนทั่วโลก นำมาฝากขุดที่เว็บนี่

 

วิธีป้องกันตัวจาก Cloud Mining ปลอม

  • เลือกผู้ให้บริการที่โปร่งใส จัดการอย่างมีระบบ น่าเชื่อถือ ไม่มีข่าวเสียหายในอดีต หรือถ้ามีก็ต้องพิจารณาจากการแก้ปัญหานั้นๆว่าทำได้อย่างถูกต้องและยุติธรรมต่อลูกค้าหรือไม่
  • หมั่นนำเงินที่ได้จากการขุด Cloud Mining ออกมาเก็บในที่ที่ปลอดภัยอยู่เป็นประจำ

รีวิว Cloud mining คืออะไร สร้างรายได้จริง? ไม่หลอกลวง?

บริษัท Cloud mining ส่วนใหญ่นั้นตั้งอยู่ในฐานต่างประเทศมันจึงมีความเสี่ยงอยู่พอสมควร ซึ่งในอดีตมีบริษัท Cloud mining ที่ตั้งขึ้นหลอกๆ ที่ปิดตัวลงไป เราจึงต้องระมัดระวังกับเรื่องนี้ ดังนั้นแนะนำผู้ที่ลงทุนใน Cloud mining ไม่ควรลงเงินกับที่เดียวควรจะกระจายความเสี่ยงออกไปหลายๆแห่ง

>>>อ่านต่อ ที่นี่<<<

6.เหรียญปลอม (Fake Cryptocurrency)

เงินดิจิตอลสกุลใหม่ ICO ปรากฏตัวขึ้นมาแทบทุกๆวัน แต่ละเหรียญนั้นก็มีข้อแตกต่างและจุดประสงค์ของตัวเองในการสร้างมันขึ้นมา เหรียญเหล่านี้มักมีอะไรที่เหมือนๆกัน อย่างเช่น ใช้ Blockchain เหมือนกัน ใช้ Proof of Work สำหรับการขุดเหมือนกัน หรือถูกใช้งานเหมือนเป็นสกุลเงินได้เหมือนกัน แต่ภัยร้ายที่มักแอบแฝงเข้ามาได้คือ Cryptocurrency ปลอมที่อาจจะสร้างโดยองค์กรแชร์ลูกโซ่ที่จะล่อลวงให้คนมาเข้าร่วมกลุ่มและลงทุนในสิ่งนี้ อีกทั้งอาจจะยังมีการแบ่งลำดับขั้นให้สำหรับผู้ที่ชักชวนคนมาลงทุนเพิ่มพร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมาย

ถึงแม้เหรียญจอมปลอมบางเจ้าจะทำการบ้านมาดี อ้างว่าตนเองนั้นตั้งอยู่บน Blockchain อันสุดแสนจะน่าเชื่อถือก็ตาม พร้อมทั้งมี Blockexplorer ของตัวเองด้วย ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะพูดจริงตามที่ว่ามา มันอาจจะเป็นเว็บที่ทำหลอกๆให้ดูเหมือนว่ามี Block และ Transaction เกิดขึ้นเรื่อยๆก็ได้ อย่างล่าสุด เหรียญปลอมที่ชื่อ Confido ปิดเว็บหนี ทำให้ราคาเหรียญล่วงลงมาถึงจุดต่ำสุด

 

วิธีป้องกันตัวจากเหรียญปลอม

  • ศึกษาหลักการทำงานของเหรียญแต่ละเหรียญที่จะลงทุนให้เข้าใจ
  • สิ่งที่ควรเน้นคือการศึกษาว่าเหรียญนี้มีความโดดเด่นต่างจากเหรียญอื่นๆยังไง ถ้าเหรียญนี้ไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่ๆ ให้โยนทิ้งได้เลย เพราะในเมื่อในตลาดมันมีอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ของซ้ำๆเดิมๆจะมาทำรายได้หรือมีอนาคต
  • อย่าหลงเชื่อคำกล่าวอ้างว่ามีคนดัง ที่น่าเชื่อถือเป็นผู้พัฒนาและเป็นเจ้าของ หรือใช้เทคโนโลยี Blockchain เหมือนเหรียญอื่นๆ ให้ศึกษาและพิสูจน์ด้วยตัวเองก่อนว่าคนดังเหล่านี้น่าเชื่อถือจริงแน่ๆนะ และ Blockchain นี้มันย้อมแมวหรือเหล่า
  • ถ้าเข้าเว็บไซต์ Coinmarketcap.com  แล้วไม่เจอชื่อเหรียญนี้ ก็ควรจะคิดทบทวนซ้ำๆก่อนลงทุนแล้วล่ะครับว่าจะเสี่ยงกับเหรียญนี้หรือไม่ เพราะเว็บนี้คือเว็บที่รวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนทั้ง Market Cap และ Daily Trade Volume ของแต่ละเหรียญ ถ้ามาอยู่ในเว็บนี้แล้ว แปลว่าต้องมีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง



เว็บ BadBitcoin.org เป็นที่รวมเว็บไซต์หรือเหรียญที่หลอกลวงชาวบ้านไว้โดยเป็นฝีมือของผู้ใช้งานทั่วไปในวงการ Cryptocurrency ที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ถ้ามีชื่ออยู่ในเว็บนี้ก็ให้ระวังตัวไว้ให้มากยิ่งขึ้น

 

ทุกวันนี้เทคโนโลยีก้าวไปไกลมากขึ้น เมื่อมีทั้งการเกิดขึ้นมาของ Bitcoin, Blockchain หรือ Cryptocurrency ตัวอื่นๆมากมาย ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ทำเงินได้อย่างมหาศาล ทำให้เป็นสิ่งที่ดึงดูดคนที่ชอบฉวยโอกาสจากความไม่รู้ ความประมาท และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคน เพื่อหาประโยชน์เข้าตัวเอง หลังจากอ่านบทความนี้จบ ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่าน จะสามารถตื่นตัวในการระมัดระวังแชร์ลูกโซ่และการหลอกลวงที่ใช้การลงทุนบิทคอยน์ หรือ Cryptocurrency มาบังหน้าได้มากขึ้น เพื่อลดโอกาสการโดนหลอกและทำให้สังคมของ Cryptocurrency เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีแห่งอนาคตนี้ สืบต่อไป



Credit: https://australianfintech.com.au , https://siamblockchain.com

 

เศรษฐกิจขาลง แล้ว บิทคอยน์ ทำไมถึงอยู่ในช่วงขาขึ้น

บิทคอยน์

เศรษฐกิจขาลง แล้ว บิทคอยน์ ทำไมถึงอยู่ในช่วงขาขึ้น

พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจในตอนนี้ ใครๆก็นึกถึงเงินมาก่อนเป็นอันดับแรก เงินเท่านั้นที่จะช่วยบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าให้เกิดขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกได้ งานนี้บอกเลยว่า สกุลเงินอย่าง Bitcoin กำลังเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ

บางคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเจ้าสกุลเงินบิทคอยน์นี้มาก่อน เพราะจะรู้จักกันแค่สาวกที่ชอบนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น เป็นเงินสำหรับการใช้จ่ายสำหรับกลุ่มที่ซื้อขายอะไรผ่านทางคอมพิวเตอร์ หรือผ่านแอพพลิเคชั่นกันบ่อยๆ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นแค่ของเล่นในหน้าจอเท่านั้น ไม่อาจจะที่เอาออกมาทำให้กลายเป็นจริงๆ ใช้จริงๆได้เลย

เพราะอีกปัจจัยหนึ่งก็คือ สกลุเงิน “บิทคอยน์” ที่โลดแล่นอยู่ตามหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ถูกดูแลด้วยรัฐบาล ไม่ได้ถูกดูแลด้วยธนาคารกลาง หรือมีความเป็นทางการตามกฎหมายใดใดเลย แต่ใครจะรู้ถึงอนาคตได้ว่าในเวลาต่อมา เงิน “บิทคอยน์” นั้นจะมีค่าพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง

          ราคาบิทคอยน์ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 อยู่ที่ 7,436 ดอลล่าร์  หรือ 1 บิทคอยน์ เท่ากับ 245,000 บาท

            และเมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่โปรแกรมเมอร์ชาวอเมริกัน ได้ทดลองซื้อพิซซ่า 2 ถาด ด้วยเงินบิทคอยน์ ในตอนนั้นด้วยราคาถูกจำนวน 10,000 บิทคอยน์ แต่ปรากฏว่าในตอนนี้ มันมีมูลค่ามากกว่า 74 ล้าน ดอลล่าร์ไปแล้ว ซึ่งการซื้อขายไม่ว่าจะเป็นการซื้อตั๋ว ซื้อสินค้า ซื้ออาหาร ผ่านเว็บไซต์ ทางธุรกิจใหญ่ๆของแต่ละองค์กรที่ทำการซื้อขายในตอนนี้ ตัวอย่างเช่นร้านอาหาร เว็บไซต์สำหรับจองตั๋วในการเดินทาง หรือการซื้อขาย Microsoft หรืออาจจะเป็น App อะไรต่างๆนานาที่จำเป็นต้องใช้และมันสะดวกที่จะใช้กระเป๋าเงินดิจิตอลอย่าง Bitcoin หันมาให้การยอมรับ “บิทคอยน์” กันมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นสกุลเงินที่ดูไม่มั่นคงมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนบางกลุ่มที่อยู่ในช่วงเศรษฐกิจขาลงได้ดีทีเดียว และกำลังสร้างความมั่นคงให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้น

 

มองและให้คุณค่า กับ “บิทคอยน์”

เชื่อหรือไม่ว่าในสมัยก่อนนั้น เจ้าเงินตรานี่ก็คือเหล่าใบไม้และเปลือกหอย รวมไปถึงแร่ธาตุต่างๆที่เราให้คุณค่ามันเพียงเพราะว่ามันมีคุณสมบัติที่เด่น เงินบิทคอยน์ก็เช่นเดียวกัน แม้มันอาจจะเป็นเงินดิจิตอลที่ไม่สามารถจับต้องเป็นตัวเงินได้ แต่การมองว่าบิทคอยน์เป็นเงินก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร และด้วยความที่มันคือเงินที่อยู่ในระบบดิจิตอล ผู้คนจึงมักกังวลในเรื่องของการ Hack ข้อมูลกันมาก

เพราะนั่นหมายความว่ากระเป๋าเงินแบบดิจิตอลของคุณก็อาจจะถูกขโมยออกไปได้ง่ายๆด้วย อีกทั้งความผันผวนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ทำให้บิทคอยน์ยังคงต้องพัฒนามากขึ้นอีกเยอะ ยังไงก็ยังคงไม่ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วแน่นอน ยังต้องแพ้สกุลเงินหลักๆอยู่ดี แต่ในอนาคตนั้นไม่แน่ เพราะเมื่อมันมีการพัฒนา ก็อาจจะทำให้บิทคอยน์กลายเป็นตัวเลือกที่ดีได้ไม่ยากเลย แล้วเงินดิจิตอลอย่างบิทคอยน์ จะมีการเปลี่ยนแปลง ได้รับผลกระทบมากขึ้นอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง ซึ่งผลกระทบเหล่านั้นแม้จะเป็นความพังของเศรษฐกิจ แต่เจ้าตัวบิทคอยน์ เองกลับถูกให้ค่ามากยิ่งขึ้น


ปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อราคาบิทคอยน์ (Bitcoin)

ประเทศเวเนซุเอลา จากคำบอกกล่าวของคนกลุ่มหนึ่งที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเวเนซุเอลาที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงสุดๆ ดูเหมือนว่าช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่บ้านเมืองหมดหนทางไป เหมือนกำลังจะพังพินาศลงอย่างไม่เป็นท่า ผู้คนออกหาอาหารรับประทานแต่อาหารก็มีไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต การออกจากบ้านในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อและน่ากลัว เงินเฟ้อสูงมากแบบที่ไม่น่าเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อัตราและเปลี่ยนสกุลเงินในตอนนั้นก็คือ 1 ดอลล่าร์สหรัฐต่อ 6000 โบลิวาร์ของเวเนซุเอลาไปในทันที ดูจำนวนการแลกเปลี่ยนก็โหดอยู่พอสมควร ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับชาวเวเนซุเอลามากขึ้นเมื่อผู้คนหันมาใช้บิทคอยน์กันมากขึ้น จากผู้ใช้ที่อยู่ในหลักร้อยเท่านั้น เพียงในเวลาไม่นานที่เกิดความพังพินาศของเงินเฟ้อ ยอดผู้ใช้บิทคอยน์ ก็พุ่งสูงขึ้นในหลักแสน นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาก็เริ่มหมดความน่าเชื่อถือสกุลเงินของพวกเขาเสียแล้ว

ไม่ว่าภาวะเงินเฟ้อของเวเนซุเอลานี้จะเกิดขึ้นด้วยเหตุใด แต่ผลของมันกลายเป็นความพังพินาศของใครหลายคนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินใดใดก็ตามที่มีอยู่ ก็แทบไม่มีค่าจนต้องถอนออกจากสกุลเงินโบลิวาร์เวเนซุเอลา และถึงแม้ว่าจะสามารถแลกเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐได้ แต่ก็ไม่ปลอดภัยเลยกับการที่ต้องซ่อนเอาไว้กับตัวหรือที่อยู่อาศัย เพราะใครๆต่างก็ต้องการมากขึ้น สำหรับคนที่มีความสามารถในการใช้เงินบิทคอยน์มากหน่อยก็เพียงแค่แลกเป็นเงินบิทคอยน์เพื่อสั่งซื้อของใช้มากขึ้นด้วย แต่ถ้ามีเพื่อนบ้าน มีญาติ ก็ยังสามารถฝากโอนบิทคอยน์เพื่อให้ญาติสั่งซื้อทั้งสินค้าและอาหารส่งมาให้ได้ แต่ก็คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ความสามารถทางดิจิตอลมากนัก ก็คงต้องทนทุกข์อยู่ไม่น้อยเมื่อพบเจอกับภาวะลุกเป็นไฟขนาดนี้

เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ ระหว่างที่รอรัฐกำลังแก้ไขปัญหา พวกเขาประชาชนคนธรรมดาก็ยังต้องดิ้นรนให้ตัวเองพ้นจากไฟที่กำลังสุมเวเนซุเอลาอยู่ บิทคอยน์ ก็เลยเป็นตัวดึงดูดให้คนหันเข้ามาให้ความสนใจและใช้กันมากขึ้น ในขณะที่บิทคอยน์ชนะสกุลเงินหลักของประเทศ การจับจ่ายใช้สอยก็ยากขึ้น การเก็บทรัพย์สินในรูปแบบที่เคยเป็นก็เปลี่ยนไป เพราะอย่างไรการเอาตัวรอดของประชาชนก็คงต้องแลกเงินที่มีอยู่ให้เป็นบิทคอยน์เสียยังดีกว่าเก็บแผ่นกระดาษที่ไม่มีค่าเอาไว้ในมือ มันทำให้บิทคอยน์ เป็นเหมือนฮีโร่ของเวเนซุเอลาไปแล้วในขณะนั้น และภายในอนาคต เราไม่อาจรู้ได้ว่าสกุลเงินอย่างบิทคอยน์ นั้นจะสามารถขึ้นมาเป็นสกุลเงินที่มีผู้ใช้มากที่สุดในเวเนซุเอลาหรือไม่ แต่ในตอนนั้นก็คงได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น และอาจจะนำหน้าสกุลเงินปกติของเวเนซุเอลาได้ด้วย

ประเทศซิมบับเว  วิกฤตของประเทศซิมบับเวที่กำลังพบเจออยู่ในขณะนี้ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อประเทศนั้นขาดอาหาร ขาดน้ำมัน ขาดยารักษาโรค ซึ่งมันก็คือปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิต การสะสมเงินอาจจะไม่ใช่ทางออกสำหรับพวกเขาแล้วในประเทศซิมบับเว เพราะเงินสกุลหลักก็สูญเสียค่าของตัวเองไปแล้ว ใครๆต่างก็เริ่มหันมาสะสมข้าวของ อาหาร กักตุนน้ำมันกันมากยิ่งขึ้น และเจ้าทรัพย์สินดิจิตอลอย่าง บิทคอยน์ (Bitcoin) ก็กลายเป็นของสะสมหนึ่งของชาวซิมบับเวในช่วงที่ขาดอาหารขาดสินค้าแบบนี้ เพราะอย่างไรมันก็มีประโยชน์ในการสั่งซื้อสินค้าอย่างอาหารและสินค้าที่มีความจำเป็นอื่นๆมากักตุนไว้ได้

ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของซิมบับเวก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงข้อดีของบิทคอยน์ ซึ่งนั่นก็คือมันเป็นเงินที่ไม่สามารถย่อยสลายไปตามกาลเวลาได้ ไม่เหมือนเงินที่อยู่ในรูปของธนบัตร ที่สามารถเสื่อมสภาพและย่อยสลายได้ไปตามกาลเวลา เมื่อเงินมาอยู่ในรูปของบิทคอยน์แล้ว การซื้อขายหรือว่าทำธุรกรรมใดใดก็จะง่ายแสนง่ายมากขึ้น อีกทั้งผู้ให้บริการอย่าง Bitmari นั้นก็เป็นบริการที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนใช้บิทคอยน์ แถมยังมีค่าบริการที่ถูกมากอีกด้วย คุณสมบัติทั้งความถูกของค่าบริการและความรวดเร็วของ Bitcoin ทำให้มันพัฒนาและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย คราวนี้ก็จะมีคนหันมาใช้งานกันมากขึ้นอย่างแน่นอน

ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศซิมบับเวยังคงต้องใช้ระยะเวลานานในการแก้ไขปัญหา และในช่วงระหว่างการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลนี้ ประชาชนที่กำลังประสบปัญหาด้วยตัวเองก็ยังต้องดิ้นรนด้วยตัวเองกันต่อไป ซึ่งบางวิธีนั้นก็อาจจะช่วยแก้ปัญหาไปได้บ้าง อย่างเช่นการแลกเงินเป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐเพื่อให้สามารถใช้ได้จริง การซื้อพันธบัตรของรัฐบาลที่จำเป็นจะต้องซื้อเพื่อความอยู่รอด แต่ดูเหมือนว่าประชาชนที่กำลังประสบปัญหาส่วนหนึ่งนั้นก็หันมาใช้ บิทคอยน์ (Bitcoin) กันมากยิ่งขึ้นด้วย เพราะเมื่อดูจากปัญหาเศรษฐกิจแล้ว “บิทคอยน์” ก็เป็นทางเลือกที่ดีมากเช่นเดียวกันในภาวะที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลงสุดๆแบบนี้

5 เว็บไซต์ซื้อขาย Bitcoin ในไทย มือใหม่ห้ามพลาด!

ถูกถามกันมาเยอะมาก ว่า ซื้อบิทคอยน์ ได้ที่ไหน และเว็บไหนน่าเชื่อถือ ? วันนี้เราจะพาคุณ ไปรีวิวกับ 5 เว็บไซต์ซื้อขาย Bitcoin ในไทย ที่คุณเป็นสมาชิกได้เลย ทันที ฟรีค่ะ!! ถ้าคุณกำลังมองหาแหล่งซื้อขายเงินบิทคอยน์ วันนี้เรามีบทความที่จะพาคุณไปทำความรู้จัก กับ 5 เว็บไซต์ซื้อขาย Bitcoin ในไทย ที่คุณเป็นสมาชิกได้ทันทีค่ะ!

>>>อ่านต่อ ที่นี่<<<




3 คดีดังแชร์ลูกโซ่ ล่าเหยื่อ“คนอยากรวย” (รู้ทันการต้มตุ๋นทางการลงทุน)

3 คดีดังแชร์ลูกโซ่ ล่าเหยื่อ“คนอยากรวย” (รู้ทันการต้มตุ๋นทางการลงทุน)

หลาย ๆ ครั้งเราคงได้พบกับเพื่อนสนิทสักคนที่ชอบมาแนะนำการลงทุนที่ดีให้กับเรา ทั้งการบอกว่านี่เป็นโอกาสที่จะสร้างอนาคตให้ตัวเอง หรือแม้แต่บอกว่าต้องการแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับเรา และหลายครั้งอีกเช่นกันที่เรามักจะเผลอเชื่อใจคนสนิทและลงทุนไปกับการลงทุนที่ “ดูท่าทาง” จะไปได้สวย บางธุรกิจนั้นดูดีและน่าเชื่อถือจริง ๆ แถมยังมีคนดัง ผู้เชี่ยวชาญร่วมลงทุนในโครงการนี้ไปอีกตั้งเยอะ ในเมื่อคนที่มีความรู้มากกว่าเรายังลงทุนไปกับโครงการนี้ แล้วทำไมเราถึงไม่ลงทุนตามเขาไป ดูยังไงโอกาสกำไรก็เห็นอยู่ชัด ๆ

 

ซึ่งทุกครั้งการต้มตุ๋นทางการเงินเองก็มีจุดประสงค์ให้เราเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ เพื่อจะทำการหลอกลวงเงินจากผู้ลงทุนจำนวนมากมาย ก่อนที่จะเชิดเงินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตา (กับความซวยและหนี้) ของนักลงทุนที่ไม่ใส่ใจกับการลงทุนของตนเอง โดยการต้มตุ๋นเหล่านี้หลายครั้งสามารถลอยนวลอยู่ได้นับสิบปี และกวาดเงินไปได้หลายพันล้านเลยทีเดียว

 

 วันนี้จะขอเล่าถึงการต้มตุ๋นทางการลงทุน รูปแบบที่เคยส่งผลกระทบต่อผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็คือ กลยุทธ์ต้มตุ๋นแบบพอนซี (Ponzi’s Scheme) และ แบบปิรามิด (Pyramid Scheme) นั่นเอง พร้อมทั้ง 3 คดีดัง ที่ยังคงเป็นที่กล่าวถึงในปัจจุบัน

 

1. กลยุทธ์ต้มตุ๋นแบบพอนซี Ponzi’s Scheme

 

กลยุทธ์ต้มตุ๋นแบบ Ponzi’s Scheme คืออะไร?

 

หากต้องการพูดแบบสั้น ๆ กลยุทธ์แบบ Ponzi นั้นมีรูปแบบการทำงานที่ง่ายดายมาก นั่นคือ ผู้ทำการต้มตุ๋นจะหลอกนักลงทุนด้วยผลประโยชน์หรือเงินปันผลที่ดูดีเกินจริง เพื่อหลอกให้มีคนลงทุนจำนวนมาก จากนั้นจึงเอาเงินลงทุนที่ได้จากสมาชิกใหม่มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับสมาชิกรุ่นเก่าไปเรื่อย ๆ นั่นเอง

โดยธุรกิจประเภทนี้จัดเป็นการต้มตุ๋น เนื่องจากเงินลงทุนนั้นไม่ได้นำไปลงทุนจริง ๆ แต่เป็นเพียงการรวมเงินไว้ และจ่ายเงินปันผลเท่านั้น เมื่อการต้มตุ๋นประเภทนี้สิ้นสุดลง ไม่ว่าจะด้วยการตรวจสอบ หรือจากการไม่มีผู้ลงทุนรายใหม่ (โดนหลอกกันเรียบร้อยทั้งบ้านทั้งเมือง) ก็ตาม จะพบว่ามีผู้ที่ได้กำไรจำนวนน้อย (สมาชิกรุ่นแรก) และมีผู้ที่ซวย (แมงเม่าที่เข้ามาทีหลัง) จำนวนมาก

ซึ่งชื่อของการต้มตุ๋นนี้ก็มาจากชื่อของ นายชาร์ล พอนซี (Charles Ponzi) นักต้มตุ๋นชาวอิตาเลียน-อเมริกัน ผู้นำกลยุทธ์นี้มาใช้สร้างความล่มจมให้ผู้คนจำนวนมากในอเมริกาในช่วงปี 1920 นั่นเอง

 

นาย Charles Ponzi เป็นใคร?

 

ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ปี 1903 ชายอิตาเลียนคนหนึ่งได้เดินทางมาถึงอเมริกาเพื่อหางานทำและชีวิตใหม่ โดยการมาถึงของชายผู้นี้ไม่มีสิ่งใดติดตัว นอกจากเงินเพียง 2.5 ดอลลาร์เท่านั้น เนื่องจากการพนันในการเดินเรือได้ดูดเอาเงินเก็บของเขาไปจนหมด (การพนันไม่ทำให้ใครรวย ยกเว้นเจ้ามือ?) เป็นเวลาหลายปีที่ชายผู้นี้ต้องทำงานต่าง ๆ ในเมือง ทั้งการเป็นเด็กล้างจาน  ได้เลื่อนชั้นเป็นบริกร แต่ก็ถูกไล่ออกอย่างรวดเร็วเพราะไปโกงเงินทอนลูกค้าและขโมยของ ทำงานในธนาคารที่มอนทรีออล แต่ก็ก่อเรื่องปลอมเช็ค กลับมาที่อเมริกา แต่แล้วก็ไปก่อเรื่องลักลอบนำเข้าแรงงานอิตาลีอีก จนต้องไปนอนคุกอยู่หลายครั้ง

 

ในเวลาต่อมาเขาก็ได้กลับมาที่บอสตัน และได้แต่งงานกับหญิงผู้หนึ่งชื่อโรส มาเรีย ผู้ได้ออกทุนทำธุรกิจให้กับเขา แต่ก็ล่มจมในเวลาไม่นานนัก หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ เขาก็ได้รับ จดหมายจากบริษัทสเปน ซึ่งในซองนั้นคือ “วิมัยบัตร” (International Reply Coupon – IRC) นั่นเอง จากการตรวจสอบข้อมูลเล็กน้อย เขาก็มองเห็นช่องโหว่ของสินค้าชนิดนี้ ที่อาจจะทำเงินให้กับเขาได้

การต้มตุ๋นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในอเมริกา กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว….

 

วิมัยบัตร (IRC) คืออะไร

 

ในช่วงปี 1920 นั้นโลกยังไม่มีอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่โทรศัพท์อย่างในปัจจุบัน วิธีการติดต่อที่เป็นที่นิยมที่สุดก็คือการส่งจดหมาย แต่การส่งจดหมายไปหาญาติพี่น้องหรือเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศนั้นก็อาจจะเป็นการสร้างภาระให้กับผู้ตอบได้เช่นกัน เพราะการตอบจดหมายก็จำเป็นต้องใช้เงิน (ซึ่งอาจจะแพงกว่า ขึ้นอยู่กับประเทศ) ในการตอบกลับ ดังนั้นสินค้าที่มีชื่อว่า International Reply Coupon หรือ IRC จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1906 โดยสินค้าชนิดนี้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับจดหมายข้ามประเทศทั่วไป เพียงแต่มูลค่าของคูปองนี้ได้รวม “ค่าส่งจดหมายตอบกลับมายังผู้ส่ง” ไว้แล้ว ทำให้ผู้รับจดหมายสามารถส่งจดหมายตอบกลับได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายนั่นเอง

 

วิมัยบัตร (International Reply Coupon – IRC)

 

จุดบอดของสินค้าชนิดนี้ก็คือ ในขณะที่นายชาร์ลค้นพบนั้น คูปอง IRC ในอิตาลีมีราคาถูกกว่าในอเมริกามาก เนื่องมาจากเงินเฟ้อที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นายชาร์ลจึงออกแบบธุรกิจลงทุนชนิดหนึ่งขึ้น โดยเขาจะซื้อคูปอง IRC ในประเทศที่มีราคาถูก และนำกลับมาขายในอเมริกาในราคาแพงกว่า และส่วนต่างนั้นก็คือกำไร ซึ่งเขาบอกว่าส่วนต่างนั้นทำให้มีกำไรมากถึง 400% อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในทางทฤษฎีแล้วการทำธุรกิจรูปแบบนี้สามารถสร้างกำไรได้ แต่ในการทำจริงนั้นไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะค่าใช้จ่ายในการขนส่ง รวมถึงระยะเวลาในการขนส่งนั้นทำให้ไม่สามารถทำจริงได้ แต่ถึงแม้จะทำจริงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่นายชาร์ลต้องการไม่ใช่ธุรกิจ ….แต่เป็นการหลอกลวง แค่มัน “เป็นไปได้” ก็มากเกินพอ

 

จุดเริ่มต้นของ “การลงทุน”

 

หลังจากการค้นพบ IRC และหนทางทำกำไรจากมันได้ไม่นาน นายชาร์ลก็เริ่มต้นการลงุทนของเขา โดยเริ่มจากการชักชวนเพื่อนให้ร่วมลงทุนในธุรกิจที่ “กำลังเกิดใหม่” โดยสัญญาว่าจะเพิ่มเงินลงทุนให้ 50% ภายใน 3 เดือน ซึ่งผู้ลงทุนรุ่นแรกก็ได้เงินตามที่สัญญาไว้ คือได้กำไรถึง 750 ดอลลาร์ จากเงินลงทุน 1,250 ดอลลาร์

จากนั้นไม่นานเขาก็ตั้งบริษัทของตัวเอง และมีนักลงทุนเพิ่มขึ้นไม่ขาดสาย และยังได้จ้างนายหน้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้อย่างงาม ภายในเวลาไม่ถึงปีก็มีเงินลงทุนในธุรกิจของนายชาร์ลนับล้านดอลลาร์ นักลงทุนมากมายนำเงินเก็บทั้งชีวิตเข้าลงทุน บางคนถึงกับจำนองบ้านเพื่อนำเงินมาลงทุนเลยทีเดียว นอกจากนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถอนเงินออกมา แต่นำเงินที่ได้เพิ่มมานั้นลงทุนกลับเข้าไปอีก จึงเห็นได้ว่าในความเป็นจริงแล้วเงินในระบบแทบจะไม่ได้ถูกจ่ายเป็นเงินปันผลเลย และในกรณีที่มีคนถอนเงินออก นายชาร์ลก็เพียงแต่นำเงินจากนักลงทุนหน้าใหม่จ่ายเป็นเงินปันผลให้ไปเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจใด ๆ เลย

อย่างไรก็ตาม นายชาร์ลก็ไม่ใช่นักต้มตุ๋นที่รอบคอบมากนัก เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟู่ฟ่า ทั้งการซื้อบ้านในเล็กซิงตัน พร้อมเครื่องปรับอากาศและสระว่ายน้ำ (ซึ่ง “โคตรหรู” ในสมัยนั้น และอาจจะสมัยนี้ด้วย) และออกเงินพาแม่ของเขามายังอเมริกาอย่างหรูหราที่สุด

 

จุดจบของ “การต้มตุ๋น”

 

แน่นอนว่าธุรกิจที่ “ผิดธรรมชาติ” ของนายชาร์ลทำให้มีผู้ที่ระแวงเขาเป็นจำนวนมาก นักเขียนในบอสตันคนหนึ่งได้เขียนถึงนายชาร์ลว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถปันผลได้ในเวลาที่รวดเร็วขนาดนั้น ซึ่งก็ทำให้นักเขียนผู้นี้ถูกฟ้อง และเสียค่าปรับถึง 500,000 ดอลลาร์ให้นายชาร์ล แต่ก็ได้ทำให้นักลงทุนบางคนถอนตัวไป แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นานจะมีการเขียนบทความหนึ่งลงในหนังสือพิมพ์ Boston Post

โดยกล่าวว่าธุรกิจของนายชาร์ลนั้นจ่ายเงินปันผลได้ถึง 50% ในเวลาเพียง 45 วัน ในขณะที่ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยได้เพียง 5% ต่อปีเท่านั้น หนึ่งวันหลังจากบทความถูกตีพิมพ์ ก็มีนักลงทุนนับพันต้องการลงทุนในธุรกิจของนายชาร์ล แต่ในวันที่บทความถูกตีพิมพ์นั้น นายชาร์ลก็ต้องเข้าพบกับเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลที่ต้องการจะตรวจสอบบัญชี ซึ่งเขาก็สามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบไปได้โดยการเสนอว่าจะหยุดรับเงินลงทุนเพิ่มในระหว่างที่มีการตรวจสอบ ทำให้การตรวจสอบชะงักไปพักหนึ่ง เนื่องจากเขาไม่เคยบันทึกบัญชีเอาไว้ (เพราะเป็นการต้มตุ๋น)

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานทางหนังสือพิมพ์ก็เริ่มขุดคุ้ยเรื่องการทำธุรกิจนี้ โดยมีการว่าจ้างนักวิเคราะห์ด้านการเงิน Clarence Barron โดยได้กล่าวว่า การทำธุรกิจของนายชาร์ลนั้นจ่ายเงินปันผลจำนวนมากภายในเวลาที่เร็วอย่างเหลือเชื่อ แต่ตัวนายชาร์ลเองนั้นกลับไม่ลงทุนในธุรกิจของตนเอง และการลงดาบขั้นสุดท้ายก็คือ การกล่าวว่า หากธุรกิจของนายชาร์ลทำงานอยู่จริงตามที่อ้าง จะต้องมีคูปอง IRC ถูกใช้อยู่ในปัจจุบันถึง 160 ล้านใบ ในขณะที่มีการใช้จริงเพียง 27,000 ใบเท่านั้น การวิเคราะห์นี้ทำให้เกิดความแตกตื่นขึ้นอย่างมาก โดยนายชาร์ลต้องจ่ายเงินให้นักลงทุนถึง 2 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเพียง 3 วันเท่านั้น

หลังจากนั้นธุรกิจก็ถูกตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่จากรัฐแมสซาชูเซตต์ต้องตรวจสอบบัญชีของบริษัทอย่างยากลำบาก เพราะบัญชีของบริษัทไม่มีอะไรเลยนอกจากชื่อของนักลงทุน (เพราะไม่ได้ทำธุรกิจจริง) ในระหว่างนั้นนายชาร์ลก็ได้จ้างเอเย่นต์ผู้หนึ่งเพื่อปิดข่าว แต่การว่าจ้างนี้กลับทำให้เรื่องเลวร้ายยิ่งขึ้น เพราะเอเย่นต์รายนี้ กลับยิ่งสงสัยในตัวธุรกิจนี้

ในปลายเดือนกรกฎาคมปี 1920 เขาก็ได้ค้นพบเอกสารหลายฉบับที่บ่งชี้ว่าธุรกิจของนายชาร์ลนั้นน่าจะเป็นเพียงการนำเงินของคนหนึ่งมาจ่ายให้กับนักลงทุนอีกคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเรื่องอื้อฉาวนี้ก็นำไปสู่การตรวจสอบหนี้สิน บัญชีธนาคารของนายชาร์ล และจุดสิ้นสุดของการต้มตุ๋นครั้งนี้ในวันที่ 11 สิงหาคม 1920 นั่นเอง

ซึ่งจากการวิเคราะห์ พบว่าการต้มตุ๋นครั้งนี้หลอกเงินจากนักลงทุนไปได้ถึง 20 ล้านดอลลาร์ โดยสามารถเทียบเป็นเงินในปัจจุบันได้ประมาณ 225 ล้านดอลลาร์

 

แม้จะดูเหมือนว่าการต้มตุ๋นของนายชาร์ลเมื่อปี 1920 นั้นน่าจะดูออกได้ง่าย เพราะการจ่ายเงินที่เกินจริง หรือแม้แต่การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายของเจ้าตัวก็ตาม แต่ก็มีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมาก แล้วถ้ามีการทำให้แนบเนียนยิ่งขึ้นล่ะจะเป็นอย่างไร?

 

ต่อไปจะขอแนะนำนักต้มตุ๋นอีกคนหนึ่งที่ใช้กลยุทธ์แบบเดียวกันนี้ แต่สามารถทำเงินได้มากกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด และที่สำคัญยังเป็นการต้มตุ๋นในยุคปัจจุบันเสียด้วย โดยการต้มตุ๋นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์นี้ถูกเปิดเผยในปี 2008 รวมระยะเวลาในการต้มตุ๋นทั้งหมดกว่า 13 ปี และเป็นเรื่องราวตามหน้าหนังสือพิมพ์มากมาย มิหนำซ้ำการต้มตุ๋นครั้งนี้ยังถูกเปิดเผยเพราะผู้ก่อการสารภาพเองอีกต่างหาก โดยที่หน่วยงานของอเมริกาไม่สามารถตามกลิ่นของเขาได้เลย ชื่อของนักต้มตุ๋นฝีมือเยี่ยมผู้นี้คือ เบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์ (Bernard Madoff)


 

2. การต้มตุ๋นครั้งประวัติศาสตร์ของนายเบอร์นาร์ด Bernard 

 

 

บริษัท Bernard Securities ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1960 โดยเริ่มต้นจากการเป็นบริษัทซื้อขายหุ้นราคาถูก ซึ่งในเวลาต่อมามีการแข่งขันกับบริษัทที่เป็นสมาชิกของตลาดหุ้นนิวยอร์ค จึงมีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน และระบบนี้ก็มีการพัฒนาต่อยอดมาจนกลายเป็น NASDAQ (ตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอเมริกา) ซึ่งบริษัท Bernard Securities ก็เป็นบริษัทหนึ่งในตลาดหุ้น NASDAQ นี้ด้วย

ในการต้มตุ๋นของนายเบอร์นาร์ดนี้มีกลยุทธ์ที่ซับซ้อนมากมาย และแนบเนียนกว่ามาก โดยในการลงทุนนั้นผู้ลงทุนจะไม่ได้เงินปันผลที่มากและรวดเร็วเกินจริงอย่างนายชาร์ล พอนซี  แต่เป็นเงินปันผลในระดับที่ไม่ผิดธรรมชาติ คือประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งเขาจงใจให้เงินปันผลในระดับที่ใกล้เคียงกับ S&P 500 เพื่อปกปิดร่องรอยของเขานั่นเอง (S&P 500 คือรายชื่อบริษัทสำคัญในอเมริกา 500 บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา มีลักษณะคล้าย Set 50 และ Set 100 ในไทย) และยังใช้เทคนิคมากมายเพื่อปกปิดร่องรอยเพิ่มเติม เช่น เขาจะขายหุ้นทั้งหมด เพื่อให้มีการรายงานเฉพาะจำนวนเงินในธุรกิจไปยังหน่วยงานรัฐ นักลงทุนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลการลงทุนได้ด้วยตัวเอง แต่จะได้รับจดหมายแจ้งข้อมูลทางการเงินและเงินปันผลเท่านั้น

นอกจากนี้ เขายังเลือกเป้าหมายอย่างรัดกุม โดยนักลงทุนนั้นมีทั้งกองทุน มูลนิธิ ธนาคาร นักลงทุนทั่วไป รวมไปจนถึงคนดังอย่างเควิน เบคอน และสตีเวน สปีลเบิร์ก แต่จุดหนึ่งที่เหมือนกัน คือเป็นนักลงทุนชั้นดี จากการที่เขาเลือกเป้าหมายอย่างเข้มงวด ทำให้นักลงทุนไม่ค่อยอยากจะถอนเงินออกจากระบบของเขา เพราะกลัวว่าจะกลับเข้าไปใหม่ไม่ได้อีก

 

แผนการของ นายเบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์

 

นายเบอร์นาร์ดสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจของเขาได้โดยการเตรียมเงินให้ทันที เมื่อลูกค้าของเขาต้องการถอนเงิน  ซึ่งเมื่อมีการถอนเงินได้ตามที่ต้องการตลอดเวลา แถมเงินปันผลที่ได้ก็ไม่ผิดปกติ ลูกค้าของเขาจึงไม่มีเหตุผลใด ๆ ให้ระแวงเลย แม้จะมีข้อสงสัยว่าธุรกิจของเขาไม่น่าจะจ่ายเงินปันผลได้สูงเท่าที่เขาทำ แต่หน่วยงานตรวจสอบของสหรัฐ (SEC) ก็ไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง นอกจากนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นที่ไว้วางใจก็คือ ตัวเขาเองที่เป็นนักการเงินอาวุโสที่มีฝีมือมาก รวมถึงเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมก่อตั้ง NASDAQ นั่นเอง

 

จุดเด่นที่สุดในการต้มตุ๋นของเขา คือการก่อตั้งบริษัทในปี 1960 โดยก่อนหน้านั้นมีการทำงานอยู่จริง จนในการไต่สวนคดีเมื่อปี 2008 เขาจึงสารภาพว่าบริษัทของเขาไม่ได้ซื้อขายหุ้นจริง ๆ มาตั้งแต่ช่วงปี 1990 แล้ว แต่ชื่อเสียงที่มีมานาน รวมถึงการปฏิบัติงานจริงที่เคยมี ก็ทำให้หลุดพ้นจากข้อสงสัยได้เป็นอย่างดี นักลงทุนและหน่วยงานตรวจสอบต้องคิดไม่ถึงแน่ ว่าบริษัทที่ตั้งมาแล้วกว่า 30 ปี อยู่ ๆ ก็จะเลิกทำงาน ไปทำการต้มตุ๋นแทน ซึ่งจุดนี้แตกต่างจากการต้มตุ๋นแบบพอนซีที่มีมาก่อน คือจากแบบเดิมที่ชักชวนให้ทำการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีจริง ธุรกิจของนายมาดอฟนั้น “มีจริง” แต่ไม่ได้ทำงานจริง (อีกต่อไป) แม้ว่าจะมีจุดผิดสังเกตอยู่บ้าง เช่นการจ่ายเงินปันผลคงที่อย่างผิดปกติ ในขณะที่เงินปันผลตามปกติจะเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะเงินในตลาด แต่ก็สามารถรอดพ้นจากหูตาของเจ้าหน้าที่รัฐไปได้

 

จุดจบ ของ นายเบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์

 

แต่จุดจบของการต้มตุ๋นครั้งนี้ก็มาถึงในปี 2008 เมื่อเกิดปัญหาทางการเงินทั่วประเทศในอเมริกา ภาวะถดถอยของตลาดการเงิน ทำให้นักลงทุนต้องการถอนเงินออกจากธุรกิจของเขาถึง 7พันล้านดอลลาร์ เขาจึงจำเป็นต้องหานักลงทุนรายใหม่เพื่อนำเงินมาจ่าย ซึ่งรวมถึงเพื่อนเก่าของเขาอย่าง Carl J. Shapiro ด้วย แต่ถึงแม้จะพยายามอย่างมาก ธุรกิจต้มตุ๋นของเขาก็มาถึงจุดจบเนื่องจากไม่สามารถหาเงินมาจ่ายนักลงทุนรายเก่าได้นั่นเอง

ซึ่งเมื่อเขาเห็นจุดจบ เขาก็ทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการจ่ายโบนัสให้พนักงานในบริษัทของเขาถึง 170 ล้านดอลลาร์ จากเงิน 200 ล้านดอลลาร์ที่บริษัทมีอยู่ในขณะนั้น ทำให้ลูกชายทั้ง 2 คนของเขาต้องถามว่า ทั้ง ๆ ที่บริษัทไม่มีเงินจะจ่ายให้นักลงทุน ทำไมถึงสั่งจ่ายโบนัสจำนวนมหาศาลอย่างนี้ และทำให้ตัวนายเบอร์นาร์ดสารภาพกับลูกชายของเขาเอง ว่าทั้งหมดเป็นเพียง “การโกหกครั้งใหญ่”

และนายเบอร์นาร์ดก็ถูกจับกุมในปีนั้น โดยผู้ที่แจ้งความก็คือลูกชายทั้ง 2 คนของเขานั่นเอง ประเมินความเสียหายในการต้มตุ๋นของเขาแล้ว มีมูลค่าถึง 65,000 ล้านดอลลาร์ มีผู้เสียหายเป็นมูลนิธิ ธนาคาร กองทุนจากทั่วโลกมากมาย มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยกว่า 3 รายฆ่าตัวตาย รวมถึงลูกชายคนโตของเขาด้วย จัดเป็นการต้มตุ๋นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก และเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาอีกด้วย ส่วนตัวนายเบอร์นาร์ดนั้นถูกพิพากษาจำคุก 150 ปี มากที่สุดเท่าที่กฏหมายของสหรัฐกำหนดไว้

 

จากกรณีของนายเบอร์นาร์ด จะเห็นได้ว่าการต้มตุ๋นรูปแบบพอนซีนั้นไม่ได้จำกัดวงอยู่เพียงยุคเก่าเท่านั้น แม้แต่ในตลาดหุ้นหรือยุคอินเตอร์เน็ตที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดายก็ยังไม่รอดพ้นไปได้เช่นกัน หากไม่เกิดภาวะถดถอยทางการเงินจนมีการถอนเงินเป็นจำนวนมาก การต้มตุ๋นครั้งนี้อาจไม่ถูกเปิดเผยเลยก็เป็นได้

ต่อไปจะขอเล่าถึงกลยุทธ์แบบพอนซีที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยบ้าง โดยคดีนี้มีผู้เสียหายนับหมื่นคน และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการบัญญัติพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนปี พ.ศ.2527 อีกด้วย ชื่อของคดีนี้คือ “คดีแม่ชม้อย” ที่มีการต้มตุ๋นในช่วงปี 2520 – 2528 นั่นเอง


 

3. คดีแม่ชม้อยในตำนาน

 

แม่ชม้อย หรือนางชม้อย ทิพย์โส ได้เริ่มต้นการต้มตุ๋นครั้งนี้ในปี 2520 โดยตัวแม่ชม้อยนั้นได้รับการชักชวนจากเพื่อนที่ทำการค้าน้ำมันอยู่ก่อน คือ นายประสิทธิ์ จิตต์ที่พึ่ง ให้ร่วมลงทุนค้าน้ำมัน ซึ่งเมื่อทำแล้วได้กำไรจริง แม่ชม้อยจึงเริ่มชักชวนผู้อื่นให้เข้ามาทำธุรกิจนี้ด้วย แม่ชม้อยได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมา มีชื่อว่า “ปิโตรเลียม แอนด์ มารีน เซอร์วิส จำกัด” โดยหน้าฉากกล่าวว่าทำธุรกิจการค้าน้ำมันทุกชนิด ทั้งในและนอกประเทศ

 

จุดเริ่มต้น นางชม้อย ทิพย์โส – แม่ชม้อย

 

แม่ชม้อยได้เริ่มชักชวนให้ผู้คนร่วมลงทุนในธุรกิจนี้ โดยรับกู้ยืมเงินในลักษณะคิดเป็นคันรถบรรทุก คันละ 160,500 บาท และจะได้กำไร 12,000 บาทต่อเดือน (6.5%) เมื่อครบปี ผู้ลงทุนจะได้กำไรถึง 78% ของเงินต้น  ในเดือนธันวาคมของทุกปีจะหักกำไรไว้ร้อยละ 4 เพื่อจ่ายค่าภาษีการค้า และยังมีการคิดเงินเป็นล้อสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยอีกด้วย โดยแบ่งเป็น 1 ใน 4 ของราคา 1 คันรถบรรทุก แม่ชม้อยจ่ายเงินดอกเบี้ยอย่างตรงเวลา และหากต้องการถอนก็สามารถถอนได้ ทำให้สามารถหลอกลวงได้อย่างแนบเนียน นอกจากนี้ตัวแม่ชม้อยเองก็ยังทำงานในการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จึงทำให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งในช่วงเวลาระหว่างการต้มตุ๋นนี้มีนักลงทุนถูกหลอกกว่าหมื่นราย และมีเงินหมุนเวียนในระบบถึงกว่า 10,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การต้มตุ๋นครั้งนี้ก็มีจุดจบเช่นเดียวกับครั้งอื่น ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต คือเริ่มต้นจากความผิดปกตินั่นเอง ธุรกิจแม่ชม้อยถูกตรวจสอบโดยกรมสรรพากร และพบว่ามีบัญชีธนาคารอยู่ 2 บัญชี คือบัญชีออมทรัพย์และกระแสรายวัน และได้ทำสัญญาเอาไว้ว่า ให้โอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ไปยังบัญชีกระแสรายวัน เมื่อมีการสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินออกจากบัญชีกระแสรายวัน จากการตรวจสอบรายรับรายจ่ายเพิ่มเติมก็พบว่าตัวแม่ชม้อยนั้นไม่ได้ทำธุรกิจอะไรที่น่าจะทำให้จ่ายดอกเบี้ยได้ในอัตราสูงถึงขนาดนั้น  การที่แม่ชม้อยสามารถจ่ายได้ก็โดยการใช้กลยุทธ์แบบพอนซีนั่นเอง โดยการนำเงินลงทุนจากนักลงทุนหน้าใหม่ไปจ่ายให้กับนักลงทุนเก่า และจุดจบก็มาถึงในรูปแบบมาตรฐาน คือเมื่อไม่มีนักลงทุนหน้าใหม่ ก็จะไม่มีเงินดอกเบี้ยจะจ่าย เมื่อเงินที่มีอยู่เดิมหมดก็จะไม่มีจ่ายอีกต่อไป

เมื่อมีการตรวจสอบ นักลงทุนก็เริ่มระแวง ในช่วงปี 2527 – 2528 นั้นธุรกิจต้มตุ๋นนี้ก็จบสิ้นลง เนื่องจากมีนักลงทุนต้องการถอนเงินเป็นจำนวนมาก ทำให้แม่ชม้อยไม่สามารถจ่ายเงินได้ทัน จึงประกาศของดจ่ายเงินชั่วคราว และหอบเงินที่ยังมีเหลือหลบหนีกลับบ้านเกิดของตน ในที่สุดเมื่อนักลงทุนไม่ได้เงินคืนตามที่แม่ชม้อยสัญญา จึงมีการร้องทุกข์ไปยังกองปราบปราม และนำไปสู่การขุดคุ้ย รวมถึงจับกุมนางชม้อยในที่สุด รวมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการต้มตุ๋นครั้งนี้มีมากถึง 4,000 ล้านบาท ตัวนางชม้อยและพรรคพวกนั้นถูกพิพากษาจำคุก 20 ปี แต่ก็ได้รับการผ่อนผันโทษ และออกจากคุกในปี 2536

จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์แบบพอนซีนั้น จุดเด่นที่สุดคือ “สนับสนุนให้ลงทุน” โดยที่ผู้ลงทุนไม่ต้องทำอะไร เพียงนำเงินมาฝากไว้ ก็จะได้เงินปันผลไปแบบสบาย ๆ ซึ่งในการต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นก็จะมีลักษณะคล้ายกันกับกลยุทธ์แบบพอนซี แต่แตกต่างกันตรงผู้ที่ชักชวนให้เข้าทำธุรกิจ รวมถึงบทบาทของสมาชิกนั่นเอง

การต้มตุ๋นแบบปิรามิด (Pyramid Scheme)

 

การต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่มีการใช้งานค่อนข้างบ่อย โดยลักษณะเด่นจะมีลักษณะคล้ายกับการขายตรงอย่างมาก โดยแบบปิรามิดนั้นจะมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ

 

     1. สมาชิกรุ่นแรกจะไปชักชวนให้สมาชิกใหม่ร่วมกันลงทุน และให้สมาชิกใหม่นั้นไปหาสมาชิกอีกต่อหนึ่งไปเรื่อย ๆ ในรูปแบบนี้จะเป็นเพียงการร่วมลงทุนเท่านั้น โดยไม่มีสินค้ามาขายแต่อย่างใด เรียกว่า “ปิรามิดเปลือย” (Naked Pyramid)

   2. สมาชิกรุ่นแรกจะได้เงินจากการขาย “ชุดเริ่มต้น” (Starter kit) และได้เงินมากขึ้นเมื่อดาวน์ไลน์ขายชุดเริ่มต้นให้กับผู้อื่นต่อ โดยผู้ชักชวนนั้นไม่จำเป็นต้องขายสินค้าเพื่อให้ได้กำไร ซึ่งธุรกิจรูปแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเพื่อขายสินค้าที่ไม่น่าสนใจ หรือได้กำไรน้อย จึงต้องหารายได้หลักจากการขายชุดเริ่มต้นแทน

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจประเภทนี้ก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อทุก ๆ คนต้องการขายสินค้า (ที่ไม่น่าสนใจ) ให้กับคนอื่น ๆ และไม่มีใครเหลือให้ชักชวนมาเป็นดาวน์ไลน์ได้อีก

 

ในความเป็นจริงแล้ว การต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นจะไม่สามารถทำกำไรได้เลย หากดาวน์ไลน์ชั้นล่างไม่ขาดทุน ซึ่งจุดที่ผิดกฏหมายนั้นก็มาจากการทำธุรกิจที่ต้องมีคนจำนวนมากขาดทุน เพื่อให้คนจำนวนน้อยได้กำไรนั่นเอง เพราะธุรกิจแบบปิรามิดจะไม่สามารถเติบโตได้ในระดับที่เพียงพอต่อการทำให้สมาชิกทั้งหมดได้กำไร หากสมมติให้สมาชิก 1 คนต้องหาดาวน์ไลน์ให้ได้ 8 คน สมาชิกในชั้นที่ 8 จะต้องหาดาวน์ไลน์ถึง 1.5 ล้านคน และอีกเพียงไม่กี่ชั้นก็จะเกินจำนวนประชากรบนโลก ซึ่งสมาชิกชั้นล่างนี้เองจะเป็นผู้ที่ขาดทุน เพื่อให้สมาชิกในชั้นบนได้กำไร (ซื้อชุดเริ่มต้นไปแล้วแต่ไม่มีใครให้ขายต่อเพื่อเอากำไร)

 

                ในการต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นแม้จะมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกับแบบพอนซี คือต้องหาสมาชิกใหม่เพื่อให้สมาชิกรุ่นแรกมีกำไร แต่มีความแตกต่างกัน คือ ในกลยุทธ์แบบพอนซีนั้นผู้ที่จะจัดหาสมาชิกใหม่คือเจ้าของบริษัทเพียงคนเดียว ในขณะที่กลยุทธ์แบบปิรามิด สมาชิกแต่ละคนจะเป็นฝ่ายไปตามหาสมาชิกใหม่ด้วยตนเอง

 

จำนวนดาวน์ไลน์ที่จำเป็นต่อการต้มตุ๋นแบบปิรามิด กรณีสมาชิก 1 คนหาดาวน์ไลน์ 6 คน

 

แล้วแตกต่างจากการขายตรง (MLM) อย่างไร?

 

การขายตรง (MLM – Multi Level Marketing) คือ รูปแบบการทำธุรกิจประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกลยุทธ์แบบปิรามิดมาก โดยบริษัทในไทยที่เรารู้จักกันดีนั้นก็มี Amway และ Herbalife เป็นต้น โดยบริษัทแรกที่ทำการตลาดรูปแบบนี้ก็คือ Amway นั่นเอง สมาชิกจะทำการขายสินค้าให้กับผู้อื่น รวมไปถึงชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิกขายตรง เพื่อให้ได้กำไร

หากดูเผิน ๆ จะเห็นว่าดูคล้ายกับการต้มตุ๋น คือมีการหาดาวน์ไลน์ และสร้างกำไรจากการมีลูกทีมจำนวนมากได้ แต่ในปี 1979 ก็มีการประกาศว่าการทำธุรกิจรูปแบบนี้ไม่ผิดกฏหมายแต่อย่างใด จึงทำให้มีบริษัทอื่นมากมายทำธุรกิจเลียนแบบ Amway ซึ่งจุดแตกต่างระหว่างการขายตรง กับการต้มตุ๋นแบบปิรามิดก็ คือ

1.การขายตรงไม่ให้เงินแก่สมาชิก เพียงเพราะหาสมาชิกใหม่ได้

2.การจะมีรายได้ในธุรกิจขายตรงได้ มีเพียงขายสินค้าให้กับผู้บริโภค หรือบริหารทีมขายเท่านั้น โดยหัวหน้าทีมจะได้เปอร์เซ็นต์จากการขายของลูกทีมด้วย (ยังไงก็ต้องขายสินค้าถึงจะได้เงิน)

3.การขายตรงจะไม่มีการบังคับให้ซื้อชุดเริ่มต้นเพื่อเป็นสมาชิก หรือต้องจ่ายเงินค่าสมาชิก

4.การขายตรงจะเน้นการขายสินค้า ไม่ใช่การหาสมาชิกเพิ่ม

ในการธุรกิจรูปแบบนี้ สมาชิกชั้นล่างไม่จำเป็นต้องขาดทุนเพื่อให้ชั้นบนได้กำไร เพราะหากไม่ขายก็จะไม่ได้เงิน และถึงแม้จะไม่หาดาวน์ไลน์ก็ไม่มีผลกระทบ เพราะสามารถซื้อใช้เองก็ได้ ซึ่งรายได้ที่ได้จากการซื้อสินค้าใช้เองก็จะกลายเป็นส่วนลดสำหรับสมาชิกไป

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นการต้มตุ๋นหรือการลงทุนอย่างสุจริต?

 

การจะแยกการต้มตุ๋นออกจากการลงทุนอย่างสุจริตเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เช่นในกรณีของนายเบอร์นาร์ดนั้นแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญหรือกองทุนข้ามชาติก็ยังหลงกลได้จากการวางแผนและการปกปิดอย่างแนบเนียน โดยมากมักจะลงมืออย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ในการระมัดระวังตัวจากการต้มตุ๋นก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น

1.ระมัดระวังการลงทุนที่จำกัดเวลา เหล่านักต้มตุ๋นมักจะทำการเสนอข้อเสนอที่ดูดีให้ ซึ่งพร้อมกันนั้นก็จะกดดันเพิ่มด้วยการบอกว่า “เป็นข้อเสนอที่มีในช่วงเวลานี้เท่านั้น” เพื่อไม่ให้สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันเวลา

2.ระมัดระวังการลงทุนที่ดูดีเกินจริง ไม่มีการลงทุนใดในโลกนี้ที่ไม่มีความเสี่ยง การบอกว่า “ไม่มีความเสี่ยง” “มีแต่ได้” หรือการเสนอเงินตอบแทนที่สูงผิดปกติ ล้วนแต่เป็นสัญญาณเตือนว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล

3.เอาใจใส่การลงทุน ดังที่เห็นในกรณีของนายเบอร์นาร์ด การต้มตุ๋นไม่จำเป็นต้องเสนอผลตอบแทนที่ดูดีเสมอไป เพียงแค่ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือก็มากเพียงพอ จุดสังเกตเดียวที่พอจะเห็นได้ก็คือการจ่ายเงินปันผลที่คงที่และตรงเวลาอย่างผิดธรรมชาติเท่านั้น จำไว้ว่าเงินที่ได้จากการลงทุนจะแปรปรวนตามสภาพตลาดการเงินในขณะนั้น

4.ใส่ใจข้อมูล  หากเป็นนักต้มตุ๋นที่มีฝีมือ การหาข้อมูลอาจจะช่วยไม่ได้มากนัก แต่ก็ยังช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่าการกระโดดเข้าหาโอกาสที่ดูดีทันทีโดยไม่คิดอะไรเลย

5.ลงทุนในหลายธุรกิจ อย่าลงทุนลงในธุรกิจเดียวด้วยเงินทั้งหมด เผื่อเส้นทางสำหรับหนีไว้ด้วยการลงทุนในหลายธุรกิจ และลงทุนในธุรกิจที่ไว้ใจได้ด้วย เพื่อไม่ให้สิ้นเนื้อประดาตัวหากตกเป็นเหยื่อของการต้มตุ๋น

6.ตรวจสอบให้ดีว่าธุรกิจนั้นขายสินค้า หรือให้หาสมาชิกใหม่ หากได้เงินจากการหาดาวน์ไลน์แทนที่จะขายสินค้า แสดงว่านั่นคือการต้มตุ๋น

7.ระวังการเข้าเป็นสมาชิกของการทำธุรกิจใด ๆ การต้มตุ๋นแบบปิรามิดนั้นมักจะคิดค่าเข้าเป็นสมาชิกจำนวนมาก รวมไปถึงค่าฝึกฝนการขาย ค่าชุดเริ่มต้น และค่าสมาชิกรายปี

การลงทุนมีความเสียง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนในทรัพย์สิน ตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง




credit: http://amonjou.blogspot.com, http://money.howstuffworks.com/pyramid-scheme.htmhttp://money.howstuffworks.com/ponzi-scheme.htm

8 วิธีเล่น บิทคอยน์ Bitcoin ให้ได้กําไร 100 % ใช้ได้จริง

วิธีเล่น บิทคอยน์ Bitcoin ให้ได้กําไร 100 % (ใช้งานได้จริง) สำหรับมือใหม่ที่ต้องการแนวทางในการเล่น บิทคอยน์ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร ผู้เขียนจึงได้เขียนบทความ 8 วิธีเล่น บิทคอยน์ Bitcoin ให้ได้กําไร 100 % ซึ่งเกิดขึ้นมาจากประสบการณ์ตรงในการลงทุน บิทคอยน์ ของผู้เขียนเอง คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่กำลังเข้ามาในแวดวง Cryptocurrency นี้

ดังนั้นลองนำ 8 เทคนิคเหล่านี้ไปใช้ในการเริ่มต้นเล่นบิทคอยน์กันเลย

 

1.ปรับเปลี่ยน Mindset ของเราให้เป็น Growth Mindset

ก่อนอื่น มือใหม่ทุกคนต้องปรับ Mindset กันก่อน เราต้องเชื่อในศักยภาพและการพัฒนาของตัวเราเองว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงความเฉลียวฉลาดและความสามารถของตัวเองได้ ด้วยการเรียนรู้และฝึกฝน เปิดใจและเปิดรับความคิดเห็นใหม่ๆ มองความผิดพลาดและความล้มเหลวคือการเรียนรู้ และเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้เราได้พัฒนาตนเอง

 

หลายครั้งที่เห็นนักลงทุนมือใหม่ โทษคนอื่นว่าทำให้ตนต้องขาดทุนในการลงทุน และหลายครั้งที่ไม่ได้กลับมามองตนเองว่า ในความขาดทุนนั้น ตัวเราเองได้ศึกษาอย่างดีแล้วหรือยัง?

คุณควรเริ่มจากศึกษาตนเอง ว่าตนเองมีลักษณะแบบใด และเหมาะกับการลงทุนแบบไหน ดังคำกล่าวของซุนวูที่ว่า ‘รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง’ ดังนั้นก่อนจะลงทุนใดๆ ‘รู้เขา’ อย่าลืม ‘รู้เรา’

 

2 . เลือกวิธีการได้ Bitcoin มาครอบครอง  และตัดสินใจให้ได้ก่อนว่าเราอยู่สายไหน   

การได้มาของ bitcoin นั้นสามารถแบ่งออกมาได้เป็น 3 แบบดังนี้คือ

1.ได้มาโดยการขุด 2.ได้มาโดยการเทรด 3.ได้มาโดยรูปแบบอื่นๆเช่น เล่นเกมส์

ซึ่งทั้ง 3 วิธีนั้นมีความคุ้มค่าแตกต่างกันออกไป

หาข้อมูล วิธีการได้บิทคอยน์มาครอบครอง และ การขุดบิทคอยน์ ให้มีรายได้ ได้ที่นี่

แต่ในบทความนี้เราจะเน้นการได้บิทคอยน์ มาโดยการเทรด เป็นหลัก

การเล่นบิทคอยน์ ให้ได้กำไร 100% คือ คุณต้องตัดสินใจลงไปอย่างแน่ชัดเลยว่า คุณอยู่สายไหน โดยสายของการเล่นบิทคอยน์  นั้นมีอยู่ 2 สายหลักๆ นั้นก็ คือ

1.สายเทคนิค ทำกำไรระยะสั้น

2.สายพื้นฐาน ลงทุนระยะยาว

โดยในบทความชิ้นนี้จะเป็นการพูดถึงสายเทคนิคเท่านั้น เพราะเป็นสายที่สามารถทำกำไรได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็วมากที่สุดกว่าทุกๆสาย คำว่า สายเทคนิค ก็หมายถึงการใช้กราฟต่างๆเข้ามาช่วยในการทำนายราคาที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตและทำกำไรจากมันนั่นเอง

 

3. โบรกเกอร์เทรดบิทคอยน์มีส่วนสำคัญมาก

ลำดับต่อไปคือ การซื้อบิทคอยน์และเก็บบิทคอยน์กับโบรกเกอร์เทรดบิทคอยน์ ตรงนี้ต้องเลือกให้ดีนะ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเราอาจไปเจอโบรกเกอร์ที่ คิดค่าธรรมเนียมสูง ไม่มีทีม support ช่วยเหลือ หรือ แม้กระทั่ง เจอเว็บหลอกลวง ปิดเว็บหนี ดังนั้นตรงนี้ต้องมีหลักการเลือกที่ดี โดยสรุปหลักๆมาให้มีดังนี้

1.เลือกโบรกเกอร์ที่รองรับภาษาไทย

2.เลือกโบรกเกอร์ที่มี Support เป็นคนไทย บริการดี แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

3.เลือกโบรกเกอร์ที่สามารถฝาก ถอนเงินผ่าน ธนาคารไทยได้

4.เลือกโบรกเกอร์ที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยบัญชีลูกค้า และ น่าเชื่อถือ

หาข้อมูล 4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต ได้ที่นี่

จากประสบการณ์ของผู้เขียนซื้อบิทคอยน์ ในเว็บ BX.in.th แล้วโอนไปยัง BinanceBitfinex , Bittrex  เพื่อเทรดทำกำไรในตลาดที่มีการซื้อขาย ปริมาณที่สูงกว่า เมื่อได้กำไรมา จะนำมาแลกเงินบาทที่ BX.in.th แล้วโอนเข้าบัญชีธนาคารในไทย

10 เว็บเทรด Bitcoin ที่มีการซื้อขายสูง ที่อาจทำให้คุณรวย!!

ปัจจุบันมี เว็บเทรด Bitcoin เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญผุดขึ้นมามากมายทั่วโลก สำหรับมือใหม่หลายคน ไม่รู้จะเลือกเทรดบิทคอยน์ที่ไหนดี?? การเลือกเว็บเทรดบิทคอยน์ที่ดีนั้น จะมีผลต่อการเทรดของคุณอย่างมาก มันอาจจะเป็นตัวชี้วัดในการทำกำไรในอนาคตของคุณเลยก็ว่าได้ มีเว็บเทรดจำนวนมากก็จริง แต่เว็บเทรดที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงมีอยู่ไม่กี่เจ้า

>>>อ่านต่อ ที่มี่<<<

 

4.เตรียมเงินลงทุนของคุณให้พร้อม (เงินเย็น)

ให้มั่นใจว่าเงินของคุณนั้นพร้อมและเป็นเงินเย็นๆ ความหมายของมันคือ เป็นเงินที่ถ้าคุณต้องเสียไปหมด คุณจะต้องไม่เสียดาย คุณต้องพร้อมรับความเสี่ยงทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้เสมอ

 

5.มีกลยุทธ์ในการเทรดบิทคอยน์

การแบ่งกลยุทธ์ในการเทรดบิทคอยน์  มีหลักการง่ายๆ 3 ประการดังต่อไปนี้

5.1 มีเครื่องมือช่วยตัดสินใจที่ดี

5.2 มีการบริหารจัดการเงินหน้าตักที่ดี

5.3 มีหลักจิตวิทยาที่ดี

ผู้เขียนจะขออธิบายที่ละข้อก่อน ดังนี้

 

5.1  มีเครื่องมือช่วยตัดสินใจที่ดี

จากประสบการณ์การเทรดบิทคอยน์ ผู้เขียนใช้ Indicator ในการช่วยตัดสินใจ เช่น Stochastic, MACD , RSI

Indicator หรือ ที่เรียกกัน ว่า อินดี้  เป็น เครื่องมือที่จะช่วยในการชี้วัดนั้นไม่ควรใช้เกิน 3 ตัว เพื่อที่ว่าคุณจะได้ไม่ต้องรอสัญญาณนานเกินไป และก็ไม่น้อยเกินไปจนทำให้การอ่านค่าสัญญาณนั้นไม่แม่น โดยดูกราฟ 1 Day เป็นหลักในการตัดสินใจ และเข้าไปเลือกซื้อในช่วงกราฟ ชั่วโมง

แนะนำนักลงทุนมือใหม่ ศึกษากราฟ ให้มากๆ เพื่อดูแนวโน้มขึ้น ลง โดยสามารถเข้าไปทดลองใช้กราฟฟรีได้ที่ Coinigy หรือ Tradingview 

 

โดยวิธีการเลือกหลักๆ มีดังนี้ 

1.ตัดสินใจเลือกคู่สกุลเงินดิจิตอลที่ตนเองถนัดก่อน หรือ เหรียญที่ดีมีอนาคต – เช่น  BTC/USD , BTC/USDT , BTC/ Altcoin ,THB/OMG , THB/ETH

2.ตอบให้ได้ก่อนว่ามันมีเทรนด์ใน 1 Day อย่างไร – ขึ้น หรือลง มีข่าวอะไรมาประกอบมั้ย สามารถเช็คได้ทาง Bitcointalk  หรือ Twitter  

3.เลือกใช้ Indicator  เข้ามาช่วยประกอบการตัดสินใจ เช่น Stochastic, MACD , RSI

ผู้เขียน ชอบใช้เส้น RSI เพื่อดูค่า 80/20 ประกอบการตัดสินใจ เช่น ช่วงที่คนขายกันเยอะ Oversold อาจจะเป็นช่วงจังหวะดี ที่ทยอยเก็บเหรียญที่ชอบ ถ้าเกิด Overbought คนซื้อกันเยอะ ก็อาจจะทยอยขายทำกำไรบางส่วน 

 

5.2 มีหลักการบริหารจัดการเงินที่ดี (Money Management)

ข้อนี้หมายความว่า คุณต้องมีเงินทุนพอที่จะลงทุน ถ้าคุณยังมีเงินไม่มากนัก ก็อาจเริ่มต้นเก็บเล็กผสมน้อยไปก่อน

โดย Money Management หลักๆคือ  เป็นวิธีที่บริหารเงินที่จะทำให้เสียน้อยๆ ไม่ให้เจ็บตัวมาก เป็นวิธีที่ช่วยเรื่องความเสี่ยง ให้ลดความเสี่ยงลงไป เพราะ เงินทุนหรือกระสุนที่เรามีสำคัญมากๆถ้ามันลดลงมากแสดงว่า เราต้องหาให้มันกลับมาเท่าเดิมคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ยิ่งสูงเข้าไปใหญ่

“ดังนั้นในการเลือก ลงทุนหรือเทรดสกุลดิติตอลคู่ไหน  ไม่ควร All in One หรือ วางเงินทั้งหมดลงไป แต่ควรที่จะกระจายความเสี่ยงไว้ด้วย” 



5.3มีหลักจิตวิทยาที่ดี

ข้อที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นข้อสุดท้ายและมีความสำคัญมากๆคือ คุณต้องมีหลักจิตวิทยาที่ดีในการเทรดบิทคอยน์ และสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆ คำว่าหลักจิตวิทยาที่ดีคือคือ ใจที่จะต้องนิ่ง และอย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธ หรือความโลภเข้ามาครอบงำคุณ ในทุกขั้นตอนที่คุณเทรดแน่นอนว่ามันอาจยากตอนคุณเริ่มต้น แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าคุณทำได้แน่นอน

 

6.หมั่นเข้าอบรมสัมมนาการเทรดบ่อยๆ

การอบรมสัมมนาที่เกี่ยวข้องการเทรด  คุณจะเข้าที่ไหนก็ได้ อาจจะเป็นในกลุ่ม Facebook, YouTube เพราะการที่คุณได้เข้าร่วมสัมมนา มีส่วนช่วยหลายอย่าง ดังต่อไปนี้คือ

6.1 ช่วยให้เราอยู่ในบรรยากาศของการเทรดบิทคอยน์

6.2 ได้พบปะเพื่อนในวงการเทรดบิทคอยน์

6.3 ได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆในการเทรด ให้ชนะตลาด 100 %

สำหรับใครที่ยังไม่ถนัดในการเทรด สามารถเข้าไปดูสไตล์ การเทรดของนักลงทุนจากต่างชาติ หรือเข้าไป copy trade นักลงทุนที่สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ได้ที่ Etoro และ 1broker โดย 2 เว็บไซต์นี้อนุญาติให้เราทำการ copy การเล่นของนักลงทุนได้

ผู้เขียนแนะนำว่า ควร เข้าไปดูประวัติการเทรดของนักลงทุนว่าได้กำไรเป็นอย่างไร? น่าเชื่อถือมั้ย? แล้วลองวางเงินลงทุนจำนวนน้อยๆ เพื่อทดสอบการเล่นของนักลงทุนก่อน เมื่อมั่นใจแล้ว ก็อาจจะเพิ่มจำนวนเงินภายหลัง แต่อย่าลืมว่าเราควรดูสไตล์การเล่น และนำเทคนิคเหล่านั้นมาปรับใช้ เพราะไม่มีใครดูแลเงินเราได้ดี กว่าตัวเราเอง

 

7.จดบันทึกผลของการเทรดรายวัน

เมื่อคุณเริ่มเล่นบิทคอยน์ หรือ เทรดสกุลดิจิตอลอื่นๆ ผู้เขียนอยากให้คุณหาสมุดมา 1 เล่ม และทำการจดบันทึกผลของการเทรด ทุกๆวัน การที่เราบันทึกผลของการเทรด ทุกๆวันและทุกๆตา มันช่วยให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางบวกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และช่วยลบข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

 

8 .หากผิดพลาดอย่าท้อ

ผู้เขียนเคยเทรดผิดพลาด ติดดอยบ้าง ซื้อแพงขายถูกบ้าง  บางครั้งเชื่อข่าวลวงบ้าง โทษตัวเอง โทษคนอื่นบ้าง แต่เมื่อไหร่ที่ เกิดความผิดพลาดจงหันกลับมาทบทวนตัวเองว่าเราทำผิดที่ตรงไหน เรียนรู้จากความผิดพลาด และหาแนวทางปรับปรุงเพื่อทำให้การลงทุนครั้งใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม  เชื่อว่าหากเราหมั่นทบทวนตัวเอง และทบทวนการลงทุนของเราอย่างสม่ำเสมอ เราจะประสบความสำเร็จจากการลงทุนอย่างแน่นอน

เป็นกำลังใจให้ทุกคน และขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย และทำกำไรจากตลาด Cryptocurrency ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ 

4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต ประจำปี 2563

วันนี้เราได้รวบรวม 4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต โดยเว็บเทรดทั้ง 4 นี้ สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามบทเฉพาะกาลตามคำสั่งของ ก.ล.ต. หรือ ได้รับ License แล้วนั่นเอง

อ่านต่อที่นี่

3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีการซื้อขายสูงสุดปี 2020

ใครที่อยากลองเทรดในตลาดต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง บทความนี้ เรามาดูกันว่า 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2020 มีเจ้าไหนบ้าง ไปดูกัน

อ่านต่อที่นี่