เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

ถ้าจะพูดถึงเรื่องราว ข่าวบิทคอยน์ หลายๆคนคงนึกถึงจุดเริ่มต้นของบิทคอยน์ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนสร้าง แต่ในวงการนี้ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่มีทั้งคนรู้และไม่รู้มาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่เกิดความฮือฮามาแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งบิทคอยน์เริ่มเป็นกระแสสังคมมาเรื่อยๆ ดังนั้น เราจะมาทำความรู้จักกับเรื่องราวในแวดวงบิทคอยน์กันสักหน่อย กับ เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

มาเริ่มกันที่ เรื่องแรก…… ซาโตชิ บิดาแห่งบิทคอยน์

เรื่องนี้ในวงการบิทคอยน์คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินใช่ไหม แต่เราอยากจะตอกย้ำให้จดจำกันอีกสักครั้ง กับจุดเริ่มต้นของคนที่ทำให้มีบิทคอยน์ขึ้นมา เขาคือ Satoshi Nakamoto (นามแฝง) หรือบิดาแห่ง บิทคอยน์ ซึ่งเขาได้เป็นคนบุกเบิกสกุลเงินดิจิตอลสู่ชาวโลกครั้งแรก ผ่านเว็บไซต์ bitcoin.org และ metzdowd โดยยึดหลักการที่ว่า ไม่ต้องการให้ค่าเงินถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือสถาบันการเงินใดๆ

Satoshi เริ่มเขียนโค๊ดพัฒนาบิทคอยน์ตั้งแต่ปี 2007, นำเสนอ whitepaper ปี 2008 และคลอด Bitcoin version 0.1 ในปี 2009 และยังคงพัฒนาซอฟแวร์อย่างต่อเนื่องมาจนถึงช่วงปี 2010 จนระบบถูกวางเสร็จสมบูรณ์ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจากวงการบิทคอยน์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก่อนที่จะส่งต่อข้อมูลทั้งหมดให้ Gavin Andresen (ซึ่งดำรงตำแหน่ง Bitcoin core development lead และ Bitcoin foundation จนถึงปี 2016) บัญชีของ Satoshi ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีบิทคอยน์ครอบครองมากที่สุดในโลกถึง 1ล้าน BTC กระจายอยู่พันกว่าบัญชี รวมมูลค่าทรัพย์สินของเขาใน cryptocurrency ถึง 36,181 ล้านเหรียญสหรัฐ (ว้าว!!) (อ้างอิงตามราคา ฺBitcoin ที่ https://coinmarketcap.com/  1 BTC = 36,181 USD )    เรียกได้ว่า เขานี่แหละ คือเจ้าพ่อที่ทำให้บิทคอยน์ มีชื่อเรียกเป็นหน่วยซาโตชินั่นเอง

มาต่อกันกับเรื่องที่ 2 ฮือฮาสุด ซื้อพิซซ่า 2 ถาดได้ด้วย บิทคอยน์

เรื่องนี้ไม่พูดไม่ได้แล้ว เพราะเสมือนเป็นเรื่องหลักๆ ที่วงการบิทคอยน์จดจำ และกลายเป็นตำนาน ถึงขนาดปัจจุบัน มีวัน “Bitcoin Pizza Day” ซึ่งเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2010 เมื่อผู้ใช้งาน Bitcoin รายหนึ่ง ชื่อว่า Laszlo Hanyecz ได้ใช้บิทคอยน์จำนวน 10,000 BTC ไปแลกกับพิซซ่าจำนวน 2 ถาด จนกลายเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ครั้งแรกของโลก ที่ไม่ต้องใช้เงินสดซื้อพิซซ่า โดยตอนนั้น Bitcoin มีราคาอยู่เพียง 0.004 ดอลลาร์ ทำให้พิซซ่ามีมูลค่าที่ 41 ดอลลาร์ ซึ่งถ้าเทียบกับมูลค่า BTC ในปัจจุบัน จะทำให้พิซซ่าสองถาดนี้ กลายเป็นพิซซ่าที่แพงที่สุดในโลก เขายังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า  ได้ขอซื้อพิซซ่าผ่านการโพสต์ลงเว็บบอร์ด Bitcointalk  โดยแจ้งในบอร์ดว่า “คุณจะทำพิซซ่ามาและนำมาส่งที่บ้านผมเองก็ได้นะ หรือจะสั่งให้ผมแล้วผมไปรับก็ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมต้องการจะใช้ คือ Bitcoin แลกกับอาหารโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องทำเอง คล้าย ๆ การสั่งอาหาร Delivery ที่โรงแรม ที่เขามาอาหารมาเสริฟ์ในห้อง และคุณกินมันอย่างมีความสุข” หลังจากนั้นสองวัน เขาก็โพสต์ภาพพิซซ่าสองถาด ที่ได้รับพิซซ่าจากร้าน Papa John โดยมีคนสั่งซื้อมาส่งให้เขาถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว

ครอบครัว Laszlo Hanyecz ผู้ใช้ บิทคอยน์ 10,000 BTC แลกกับ พิซซ่า 2 ถาด

          แถมจุดประสงค์ของเค้าที่ต้องการซื้อ 2 ถาด เพราะเขาอยากเหลือไว้กินในวันถัดไปอีกด้วย เรียกได้ว่าเรื่องนี้แหละ คือ เรื่องที่ทำให้บิทคอยน์กลายเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ดูมีมูลค่าขึ้นมาทันที จนมีคนสนใจที่จะหามันมาครอบครองเพื่อซื้อขายออนไลน์กันโดยเฉพาะ

เรื่องที่ 3 : วิกฤติ MtGox และ Coincheck เว็บเทรดเจ้าใหญ่ ถูกแฮก สะเทือนวงการ “เงินดิจิตอล”

ช่วงปี 2014 เกิดเหตุการณ์สะเทือนวงการผู้ใช้สกุลเงินดิจิตอล “บิทคอยน์” เมื่อเว็บเทรด “MtGox” ซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อขาย บิทคอยน์ รายใหญ่ที่สุดของโลกได้ยื่นเอกสารต่อศาลในกรุงโตเกียวเพื่อขอล้มละลายและพิทักษ์ทรัพย์ หลังจากถูกแฮคเกอร์โจรกรรม บิทคอยน์ จำนวน 750,000 เหรียญ พร้อมกับ บิทคอยน์ ของบริษัทราว 100,000 เหรียญ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.56 หมื่นล้านบาท) โดย คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน CoinDesk ในวันดังกล่าว วิกฤติการณ์ครั้งนั้นถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผู้ถือครองสกุลเงิน บิทคอยน์ หวั่นวิตกกับอนาคตของสกุลเงินดังกล่าว หลังจากที่ บิทคอยน์ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

มูลค่าความเสียหาย ของเว็บเทรดที่ถูกแฮก

Mt Gox เว็บเทรดเจ้าใหญ่ในตำนานสัญชาติญี่ปุ่นที่ถูกแฮกไปในปี 2014 ทำให้ตลาดคริปโตกลายร่างเป็นขาลงยาวนานถึงสองปี โดยมีแผนจะชดเชยบิทคอยน์จำนวน 140,000 BTC ให้แก่นักลงทุนในวันที่ 15 ตุลาคม 2020 หลังถูกเลื่อนมาแล้วถึงสี่รอบ หลังจากนั้น ปี 2018 บริษัท Coincheck ซึ่งเป็นบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ถูกแฮกเกอร์มือดีเข้ามาเจาะระบบคอมพิวเตอร์ โจรกรรมเงินดิจิทัลไปได้มหาศาลถึง 5,800 ล้านเยน หรือราว 534 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 16,700 ล้านบาท) จนถือเป็นการขโมยเงินดิจิทัลครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ทำลายสถิติของ บริษัท MtGOX

เรื่องที่ 4 : ปล้นบิทคอยน์ โดยไวรัส Wannacry

อะไรที่เป็นกระแส และได้เงินจริง มักจะมีผู้ไม่หวังดี ทำตัวเป็นโจรคอมพิวเตอร์ หาเรื่องเรียกค่าไถ่ คุกคามผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทันที อย่าง ไวรัส Wannacry  ที่เคยระบาดหนักอยู่ช่วงปี 2017 โดยไวรัสตัวนี้ จะเป็น หนึ่งใน ransomware ที่ทำการเข้าควบคุมคอมพิวเตอร์เหยื่อ โดยทำการล็อคข้อมูลทั้งหมด และเรียกค่าไถ่เป็น Bitcoin เป็นจำนวนเงินไทยกว่า 100,000 บาท เพื่อแลกกับการปลดล็อคคอมพิวเตอร์ โอ้วโหว ที่มันเป็นการเรียกค่าไถ่รูปแบบใหม่ชัดๆ ซึ่งเท่ากับว่า เงินจำนวนกว่า 4 ล้านบาท สูญไปกับกลุ่ม Hacker ไปเลย

เมื่อคอมพิวเตอร์ติดไวรัส WannaCry จะมีหน้าตาตามรูปนี้

          บริษัทและผู้คนบนโลกกว่า 150 ประเทศ ต้องปั่นป่วน เพราะคอมพิวเตอร์จำนวนกว่า 230,000 เครื่องถูกไวรัสนี้เข้าควบคุม แม้แต่โรงพยาบาลยังถูกล็อคข้อมูลเข้าถึงผู้ป่วย หรือบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคม อย่าง FedEx ในสเปนยังได้รับผลกระทบไปด้วย ผลกระทบของการโจรกรรมในครั้งนั้น ได้ถูกเชื่อมโยงไปยังกลุ่ม Hacker ในเกาหลีเหนือ  นามว่า The Lazarus Group โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยต่างระบุว่า Wannacry เป็นไวรัสที่โจมตีบริษัทดัง และธนาคารในประเทศต่างๆ จนเกิดความเสียหายอีกด้วย อีกทั้งบิทคอยน์ที่ถูกโจรกรรมไป บางส่วนก็ถูกนำไปซื้อของในตลาดมืดอีกด้วย   นับว่าเป็นการกระทำที่ทำให้นักลงทุนบิทคอนย์เฟลไปตามๆกัน แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน เว็บไซต์สำหรับใช้งานบิทคอยน์ต่างๆ มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก

เรื่องที่ 5 : โปรแกรมเมอร์ บุญมี แต่กรรมบัง!!!

เจมส์ โฮเวลส์ ทิ้งฮาร์ดไดร์ฟที่เขาลืมไปว่ามีบิทคอยน์ จำนวน 7,500 เหรียญ บันทึกอยู่ ลงถังขยะเมื่อ 8 ปีที่แล้ว นายโฮเวลส์ ซื้อบิทคอยน์มาในราคาถูกมากเมื่อปี 2009 แต่เขาถอดฮาร์ดไดร์ฟที่ใช้บันทึกบิทคอยน์เหล่านั้นออก หลังจากทำเครื่องดื่มหกใส่คอมพิวเตอร์ และเก็บฮาร์ดไดร์ฟไว้ในลิ้นชักจนกระทั่งลืมว่ามีบิทคอยน์บันทึกไว้อยู่ ต่อมาเขาได้โยนฮาร์ทไดร์ฟทิ้งไปในปี 2013 ขณะนี้เขากำลังร้องขอให้เทศบาลเมืองนิวพอร์ต ทางตอนใต้ของเวลส์ ช่วยขุดฮาร์ดไดร์ฟดังกล่าวที่เชื่อว่าอยู่ในที่ฝังกลบขยะของเทศบาล โดยสัญญาว่าจะบริจาคส่วนแบ่ง 25% ตามมูลค่าของบิทคอยน์ให้กับเทศบาลเพื่อเป็นกองทุนต่อสู้กับโรคโควิด-19 ส่วนคนที่ สอง คือ สเตฟาน โทมัส โปรแกรมเมอร์ชาวเยอรมนีที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เพราะว่า เขาได้ทำรหัสผ่านที่จะล็อกอินเข้าบัญชีบิทคอยน์ของตัวเองหายไป” ซึ่งภายในบัญชีของเขานั้นมีบิทคอยน์อยู่ มากถึงกว่า 7,002 เหรียญ ซึ่งจากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น กลายเป็นบทเรียนราคาแพง ไม่เฉพาะของ “สเตฟาน โทมัส” คนเดียวเท่านั้น แต่เหมือนว่าจะเป็นปัญหาของคนที่ชอบลืมรหัสผ่านกำลังเกิดขึ้นกันหลายๆคน เพราะยังมีผู้ถือบัญชีบิทคอยน์ทั่วโลกที่ถือบิทคอยน์จำนวนมากไว้ในมือ แต่ไม่สามารถขายได้เพราะลืมรหัสผ่านที่ตัวเองตั้งไว้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทำความรู้จักกับ Satoshi ซาโตชิ หน่วยย่อยของ บิทคอยน์ blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้ 6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง! คนรวยด้วยบิทคอยน์ มีสักกี่คน? มือใหม่อยากรวย ตามมาดูกัน

3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีการซื้อขายสูงสุดปี 2020

ใครที่อยากลองเทรดในตลาดต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง บทความนี้ เรามาดูกันว่า 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2020 มีเจ้าไหนบ้าง ไปดูกัน

อ่านต่อที่นี่

4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต ประจำปี 2563

วันนี้เราได้รวบรวม 4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต โดยเว็บเทรดทั้ง 4 นี้ สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามบทเฉพาะกาลตามคำสั่งของ ก.ล.ต. หรือ ได้รับ License แล้วนั่นเอง

อ่านต่อที่นี่