Category: ซื้อ ขาย Bitcoin

ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับมือใหม่ ซื้อ ขาย Bitcoin

ปัจจุบัน สกุลเงินดิจิตอล กำลังมีบทบาทอย่างมากในโลกออนไลน์ ซึ่งเราสามารถใช้ช่องทางการลงทุนในตลาดใหม่นี้ สร้างโอกาสผลกำไรจากการลงทุนในตลาดเงินดิจิตอลนี้ได้ในอนาคต

เราจะพาคุณไป รีวิวแหล่งซื้อขาย Bitcoin ในไทย ที่มือใหม่ สามารถเป็นสมาชิกได้เลยทันทีค่ะ จากการที่ได้ลงทุนในบิทคอยน์ มาระยะหนึ่งแล้ว จึงอยากนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มาถ่ายทอดให้นักลงทุนมือใหม่ ที่กำลังจะเข้ามาในวงการ Crypto Currency นี้ได้รู้จัก แหล่งซื้อขาย บิทคอยน์ เพื่อง่ายในการตัดสินใจ ซื้อขาย Bitcoin

5 เว็บเทรดคริปโตในไทย ปี 2024 ฝากถอนสะดวก และได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.

เว็บไชต์ข้อมูลบริษัทวอลุ่มซื้อขายค่าธรรมเนียมเทรดค่าธรรมเนียมถอน
BinanceTH
เป็นการร่วมทุนระหว่าง Gulf Energy Development (ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย) และ Binance.com มีระบบ Support เป็น Crypto Exchange อันดับ 1 ของโลก

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Binance Thailand ได้ที่นี่
To be updateคู่เหรียญ THB จะไม่เสียค่าธรรมเนียม20 บาทต่อครั้ง
Bitkub
Crypto Exchange อันดับ 1 ของประเทศไทย
ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 90 – 95%

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Bitkub ได้ที่นี่
56 ล้านดอลลาร์0.25%20 บาทต่อครั้ง
Bitazza
นอกจากเป็น Exchange แล้ว ยังมีบริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของโบรกเกอร์ และเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ได้การรับรองจาก ก.ล.ต.

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Bitazza ได้ที่นี่
11 ล้านดอลลาร์0.25%20 บาทต่อครั้ง
innovestX
แอปพลิเคชันด้านการลงทุนโดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เปิดบัญชีลงทุนครั้งเดียว ลงทุนได้หลายสินทรัพย์

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ innovestX ได้ที่นี่
6 ล้านดอลลาร์0.20% 20 บาทต่อครั้ง
SCB ถอนฟรี
Orbix
ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้ร่วมทุนรายใหญ่ มีระบบช่วยคำนวณต้นทุนเหรียญแบบอัตโนมัติ เช็กผลกำไรขาดทุนได้แบบเรียลไทม์

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ Orbix ได้ที่นี่
2แสน ดอลลาร์0.25%20 บาทต่อครั้ง

**ควรสมัครไว้หลายๆเว็บเทรด เพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะเวลาเอาเงินเข้า เงินออกจะได้ใช้อันไหนก็ได้ที่สะดวกและเรทดีตอนนั้น


1. Binance TH

เว็บเทรด ไบแนนซ์ ไทย
ข้อดีข้อด้อย
+ Binance TH ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต.
+ น่าเชื่อถือ เพราะร่วมทุนกับ Gulf Energy ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย
+ รองรับภาษาไทย ทำให้ใช้งานง่าย
+ เทรดได้ 110 คู่เหรียญ
+ เทรดคู่เหรียญบาท THB จะไม่เสียค่าธรรมเนียม
– เป็นเว็บเทรดน้องใหม่ ยังมีปริมาณการซื้อขายไม่มาก
– Functions ของ Binance TH จะน้อยกว่าฝั่ง Global โดยจะไม่มีพวก Staking หรือการเทรด Future, Option เป็นต้น

2. Bitkub

เว็บเทรดบิทคับ

Bitkub ถือเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับ 1 ของประเทศไทย ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2018 ภายใต้การบริหารของคนรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เป็นเจ้าแรกที่ให้บริการเทรดผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือทั้งในระบบ Android และ iOS จึงสามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีทีมงานที่พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน ส่งผลให้ Bitkub เป็นเว็บเทรดคริปโตที่มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้สูงถึง 90 – 95% ระบบการเทรดใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน แม้แต่มือใหม่ก็ใช้งานได้สะดวก

ข้อดีข้อด้อย
+ เป็นเว็บเทรดอันดับ 1 ในประเทศไทย
+ บริหารโดยทีมผู้บริหารรุ่นใหม่
+ ระบบการเทรดง่าย ไม่ซับซ้อน
+ เทรดได้ 100 คู่เหรียญ
– สามารถเทรด Spot ได้อย่างเดียวเท่านั้น
– ค่าธรรมเนียมแพง 0.25%  ต่อครั้ง
– บางช่วงระบบไม่เสถียร ทำให้ตอนตลาดเกิดความผันผวนรุนแรง ระบบจะค้างได้

3. Bitazza

เว็บเทรด Bitazza

Bitazza เป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ได้การรับรองจาก ก.ล.ต. แต่รูปแบบการให้บริการจะแตกต่างจากแพลตฟอร์ม Exchange โดย Bitazza จะให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของโบรกเกอร์ หรือนายหน้า จึงสามารถส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าไปยังศูนย์ซื้อขาย (Exchange) ทั่วโลกได้แบบเรียลไทม์ ทำให้มีสภาพคล่องสูง มีคู่เหรียญที่หลากหลาย สามารถซื้อขายเหรียญด้วยสกุลเงินบาทได้ หากมีปัญหาในการใช้งานก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ข้อดีข้อด้อย
+ เป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ได้การรับรองจาก ก.ล.ต.
+ การฝากหรือถอนก็ทำได้อย่างรวดเร็ว
+ คู่เหรียญที่หลากหลาย เทรดได้ 100 คู่ เหรียญ
+มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม รวมถึงระบบ KYC
และใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยจากบริษัทชั้นนำอย่าง Ledger ดีไซน์
– สามารถเทรด Spot ได้อย่างเดียวเท่านั้น
– ค่าธรรมเนียมแพง 0.25%  ต่อครั้ง



4. innovestX  

เว็บเทรด InnovestX

มาต่อกันที่แอปพลิเคชันด้านการลงทุนที่ครบครันสุดๆ อย่าง innovestX ซึ่งมีบริษัท SCBx เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จุดเด่นคือรูปแบบการใช้งานที่ง่ายสำหรับมือใหม่ โดยมีเทคโนโลยีอัจฉริยะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนให้อัตโนมัติ หรือสามารถเลือกแผนการลงทุนที่ต้องการ เช่น ลงทุนตามกูรูชั้นนำ ลงทุนตามเมกะเทรนด์ทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้นยังรวมสินทรัพย์หลายประเภทไว้ในที่เดียว จึงสามารถเทรดคริปโตไปพร้อมกับการลงทุนในหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน หรือตราสารหนี้ได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องลงทะเบียนซ้ำๆ ช่วยกระจายความเสี่ยง ทำให้มองเห็นภาพรวมของการลงทุน และบริหารจัดการพอร์ตได้ดียิ่งขึ้น

ข้อดีข้อด้อย
+ มีรูปแบบการใช้งานที่ง่ายต่อการเข้าใช้งาน
ทำให้เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับการลงทุน
+ มีเทคโนโลยีอัจฉริยะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนให้อัตโนมัติ
+ สามารถในการเทรดหลากหลายสินทรัพย์
+ มีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
และมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูง.
– ค่าธรรมเนียมแพง 0.20%  ต่อครั้ง
– อาจมีข้อกำจัดในการถอนเงิน
– บางคนอาจพบว่าระบบของ innovestX มีความซับซ้อนมากเกินไป

5. Orbix

เว็บเทรด Orbix

อีกหนึ่งเว็บเทรดคริปโตน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่เป็นที่น่าจับตามองอย่างมากก็คือ Orbix เพราะเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท ยูนิต้า แคปิทัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย โดยทำการเทคโอเวอร์มาจากเว็บเทรด Satang Pro ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2017 จึงมีการปรับโฉมครั้งใหญ่ และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะ เพื่อยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เช่น Price Alert ที่นักเทรดสามารถตั้งเตือนราคาเหรียญได้ จึงไม่ต้องเสียเวลาเฝ้าจอ และ Orbix Balance ที่ช่วยคำนวณต้นทุนเหรียญแบบอัตโนมัติ เช็กผลกำไรขาดทุนได้แบบเรียลไทม์

ข้อดีข้อด้อย
+เป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย ทำให้มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักในวงการการเงิน
+ มีการปรับโฉมจากเว็บเทรด Satang Pro ทำให้ Orbix มีฐานผู้ใช้ที่มั่นคง
+ มีฟีเจอร์ Price Alert ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถตั้งเตือนราคาเหรียญได้
– เป็นเว็บเทรดน้องใหม่ ยังมีปริมาณการซื้อขายไม่มาก
– ค่าธรรมเนียมแพง 0.25%  ต่อครั้ง

อัปเดตเว็บ เทรดคริปโต ในไทยที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ปี 2024

เพื่อให้นักลงทุนมีทางเลือกในการเทรดที่หลากหลาย เราจึงได้รวบรวมเว็บเทรดคริปโตที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. มาฝาก ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 10 ราย เปิดให้บริการ 8 ราย ถูกระงับ 1 รายและยังไม่เปิดให้บริการอีก 1 ราย

ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กลต

  • ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange)​
  • บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด (GULF BINANCE)
  • บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (INVX)
  • บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BITKUB)              
  • บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด (ORBIX TRADE)
  • บริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด (TDX)
  • บริษัท จีเอ็มโอ-แซด.คอม คริปโทนอมิคซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Z.COMEX)                 
  • บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด (UPBIT)
  • บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (ZIPMEX) **ถูกระงับการให้บริการ จาก กลต ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567
  • บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด (ERX)
  • บริษัท วาฬ เอ็กเชนจ์ จำกัด (WAANX) **ยังไม่เปิดให้บริการ

ส่วนผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของนายหน้า หรือโบรกเกอร์ ปัจจุบันมีทั้งหมด 12 ราย เปิดให้บริการ 10 ราย ถูกระงับ 1 รายและยังไม่เปิดให้บริการอีก 2 ราย

ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กลต

ข้อมูลข่าวจาก https://www.thaipbs.or.th/news


วิธีเลือกเว็บเทรดคริปโต ต้องดูอะไรบ้าง ?

  • ความน่าเชื่อถือ

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกในการเลือกเว็บเทรดคริปโตก็คือ ความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ จึงควรศึกษาข้อมูลให้ดีว่าเจ้าของเป็นใคร เปิดให้บริการมานานหรือยัง อ่านรีวิวหรือประสบการณ์ของผู้ใช้งานคนอื่นๆ หรือง่ายๆ เลยก็คือเลือกเว็บเทรดคริปโตที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่า หากเกิดปัญหานักลงทุนก็ยังได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

  • ความเสถียรของระบบ

การเทรดคริปโตต้องอาศัยจังหวะเวลา ลองคิดภาพตามดูว่า เมื่อมูลค่าของเหรียญอยู่ในช่วงราคาที่เราต้องการ แต่กลับกดซื้อไม่ได้ ฝากเงินไม่ได้ กว่าระบบจะกลับมาทำงานเป็นปกติราคาก็อาจจะสูงกว่าเดิมไปเยอะแล้ว ทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะฉะนั้นเว็บเทรดคริปโตที่ดีจึงต้องมีระบบที่เสถียร และอย่าลืมศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฝาก-ถอนเงินด้วย เช่น ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ หรือมีขั้นต่ำเท่าไหร่ เป็นต้น

  • ความปลอดภัย

เว็บเทรดคริปโตมีโอกาสถูกโจมตีจากแฮ็กเกอร์ได้ เพราะฉะนั้นจึงควรตรวจเช็กระบบรักษาความปลอดภัยของเว็บว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เคยถูกแฮ็กหรือเปล่า มีระบบป้องกันการแฮ็กหรือโจรกรรมข้อมูลอย่างไรบ้าง เช่น มีระบบยืนยันตน 2 ชั้น (Two-factor Authentication), มีการเข้ารหัส SSL (https) เป็นต้น

  • ค่าธรรมเนียมต่ำ

เทรดมาตั้งนาน ทำไมกำไรน้อยจัง ? หลายคนมีคำถามแบบนี้ เพราะลืมสังเกตว่าเว็บเทรดคริปโตที่ใช้บริการนั้นคิดค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ โดยปกติแล้วแต่ละเว็บจะคิดค่าธรรมเนียมในการซื้อขายต่อครั้ง ในอัตราที่แตกต่างกันออกไป เฉลี่ยประมาณ 0.05% – 0.25% และยังอาจมีค่าธรรมเนียมในการฝากถอนเหรียญด้วย

  • จำนวนเหรียญ

จริงอยู่ที่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะเทรดเหรียญยอดนิยม ซึ่งเหรียญเหล่านี้ก็มีแทบทุกเว็บ แต่การเลือกเว็บที่มีเหรียญหลากหลาย ก็เหมือนเป็นการเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นยิ่งมีเหรียญให้เทรดเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ไม่แน่ว่าในอนาคตเหรียญเหล่านั้นอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวก็เป็นได้  

  • สภาพคล่อง

เว็บเทรดคริปโตที่มีสภาพคล่องสูง หรือมีผู้ใช้งานจำนวนมาก ย่อมดีกว่าเว็บที่ผู้ใช้งานน้อย เพราะเมื่อจำนวนนักเทรดมากขึ้น จะซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ก็ทำได้ง่ายกว่า ความคลาดเคลื่อนระหว่างราคาที่คาดหวังกับราคาซื้อขายจริง (Slippage) ก็จะต่ำลงด้วย โดยสังเกตได้ง่ายๆ จาก Volume หรือปริมาณการซื้อขายบนกระดานเทรดในแต่ละวัน

  • ฟังก์ชันการใช้งาน

เว็บเทรดคริปโตของแต่ละที่มีการออกแบบดีไซน์หน้าตาของเว็บไซต์ และ UI/UX รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานไม่เหมือนกัน จะเลือกเว็บไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคล แต่โดยรวมแล้วการออกแบบควรมีความเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน สีสันสบายตา ตัวอักษรอ่านง่าย และมีฟังก์ชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเทรดได้มากขึ้น เช่น มีฟังก์ชันแจ้งเตือนราคา, มีอินดิเคเตอร์หลากหลาย, มีฟังก์ชันช่วยบริหารพอร์ต เป็นต้น

  • ติดต่อง่าย

ระหว่างการใช้งานเว็บเทรดคริปโต อาจเกิดปัญหาได้โดยเฉพาะมือใหม่ หรือบางทีระบบที่ว่าเสถียรก็ยังขัดข้องได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นการที่ผู้ให้บริการมีช่องทางติดต่อที่หลากหลาย ติดต่อได้ง่าย หรือตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยสร้างความอุ่นใจให้นักลงทุนมากขึ้น


คำถาม – คำตอบ ที่ควรรู้ ก่อนเข้าสู่สนาม เทรดคริปโต

Q: คริปโตกับโทเคนต่างกันอย่างไร ?

A:  คริปโตและโทเคนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเหมือนกัน แต่คริปโตเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีจำนวนจำกัด มูลค่าของเหรียญจึงแปรผันตามปริมาณของเหรียญ และความต้องการของตลาด เหรียญที่เป็นที่นิยมมากจึงมีราคาสูง สามารถใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้เหมือนเงินสด ตัวอย่างเหรียญคริปโต เช่น Bitcoin, Ethereum, Dogecoin ส่วนโทเคนนั้นไม่ได้สร้างขึ้นบนบล็อกเชนของตัวเองโดยตรง แต่มาจากบล็อกเชนของสกุลเงินดิจิทัลอื่น และใช้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างโดยเฉพาะ เช่น ใช้แสดงสิทธิในการร่วมลงทุนและรับเงินปันผล, สิทธิในส่วนแบ่งรายได้, สิทธิในการใช้งานแพลตฟอร์ม, สิทธิในการโหวต หรือใช้ในการระดมทุนแบบ ICO (Initial Coin Offering) เป็นต้น ตัวอย่างโทเคน เช่น Tether, Yearn Finance, Uniswap เป็นต้น

Q: การ เทรดคริปโต ต่างจากการลงทุนในหุ้นหรือไม่ ?

A: ภาพรวมของการเทรดคริปโตกับการลงทุนในหุ้นค่อนข้างคล้ายกัน เพราะมูลค่าของเหรียญหรือหุ้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด แต่จุดที่แตกต่างคือ ตลาดหุ้นมีเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจน แต่คริปโตไม่มี จึงมีการซื้อขายตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง ทำให้มีความผันผวนมากกว่า นอกจากนี้ผู้ที่เทรดคริปโตก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากเท่ากับการซื้อหุ้น เพราะสามารถซื้อเป็นหน่วยย่อยได้ เช่น ปัจจุบัน Bitcoin ราคาประมาณ 1,600,000 บาทต่อเหรียญ เราจะซื้อแค่ 0.001 ในราคา 1,600 นิดๆ ก็ได้

Q: กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์คืออะไร จำเป็นต้องมีหรือไม่ ?

A: การเก็บเงินสดทั้งธนบัตรและเหรียญยังต้องใช้กระเป๋า เงินดิจิทัลก็เช่นเดียวกัน แม้จะจับต้องไม่ได้ แต่ต้องมีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้เก็บ Public key และ Private key ที่ใช้ในการเข้าถึงและจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพแฮ็กข้อมูลไปได้ โดยกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์จะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ Hot Wallet หรือ Software Wallet ซึ่งจะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทุกครั้งที่ใช้งาน และ Cold Wallet หรือ Hardware Wallet ที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต หน้าตาจะเหมือนกับ USB เมื่อต้องการใช้งานก็สามารถเสียบเข้ากับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือมือถือได้เลย ความปลอดภัยสูงกว่า แต่ราคาก็สูงกว่าด้วยเช่นกัน

Q: เลือกเหรียญคริปโตอย่างไรดี ?

A: สำหรับมือใหม่หลายคนอาจจะไม่มั่นใจว่าควรเลือกเหรียญไหนดี เพราะปัจจุบันก็มีสกุลเงินดิจิทัลมากมาย แต่หากนึกย้อนไปถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อมูลค่าของเหรียญ ซึ่งก็คือความต้องการของตลาด เราก็ควรเลือกเหรียญที่อยู่ในกระแสนิยม เป็นที่สนใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ โดยอาจจะสังเกตจาก Volume หรือปริมาณการซื้อขายบนเว็บเทรดคริปโตชั้นนำ หรือใช้อินดิเคเตอร์ต่างๆ เข้ามาช่วย ทั้งนี้ควรศึกษาข้อมูลของเหรียญ เช่น ผู้สร้าง ความน่าเชื่อถือ โอกาสเติบโตในอนาคต รวมถึงมูลค่าเหรียญย้อนหลัง เพื่อเข้าซื้อให้ถูกจังหวะ

สิ่งสำคัญสำหรับมือใหม่ที่ต้องการลงทุนในคริปโตก็คือ การศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทั้งในเรื่องของการลงทุนเอง รวมถึงเรื่องของการใช้งาน อย่างเช่นการเลือกเว็บเทรดคริปโต จะเลือกแค่เพราะเป็นเว็บที่มีเหรียญที่ต้องการ หรือเน้นใช้งานง่ายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน ยิ่งปัจจุบันมีกลุ่มมิจฉาชีพที่ทำเว็บเทรดปลอมขึ้นมาหลอกลวงผู้อื่น ก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะฉะนั้นก่อนเทรดอย่าลืมนำเทคนิคดีๆ เหล่านี้ไปใช้ และคอยติดตามข่าวสารข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ จะได้เทรดอย่างมั่นใจ ปลอดภัย ไร้กังวล


บทความที่เกี่ยวข้อง

5 กระเป๋าบิทคอยน์ Hardware Wallet ปลอดภัย และน่าเชื่อสุดในปี 2023

3 เว็บเทรดคริปโต ต่างประเทศ มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2023

เจาะลึกพื้นฐาน บิทคอยน์ พร้อมแนวโน้มปี 2024 ยังน่าซื้ออยู่ไหม ?

9 เรื่อง ที่มือใหม่ต้องรู้ก่อนซื้อ คริปโต


“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team

เจาะลึกพื้นฐาน บิทคอยน์ พร้อมแนวโน้มปี 2024 ยังน่าซื้ออยู่ไหม ?

ความผันผวนตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ บิทคอยน์ กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ทั้งในช่วงที่มูลค่าพุ่งขึ้นไปสูงสุดถึง 65,000 ดอลลาร์สหรัฐ และช่วงที่ราคาตกลงมาเหลือ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลาแค่ครึ่งปี อย่างไรก็ตามมูลค่าที่ลดลงก็ไม่ได้ทำให้บิทคอยน์หมดความน่าเชื่อถือไปเสียทีเดียว เพราะยังมีนักลงทุนอีกมากที่มองว่าเป็นโอกาส รวมถึงนักลงทุนหน้าใหม่ที่สนใจสินทรัพย์ดิจิทัลกันมากขึ้น  บทความนี้จึงจะพาไปทำความรู้จักบิทคอยน์แบบเจาะลึก เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจในการลงทุน

บิทคอยน์ คืออะไร ?

บิทคอยน์

บิทคอยน์ คือสกุลเงินดิจิตอลที่ถูกสร้างขึ้นบนระบบบล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งเป็นระบบบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของใครคนใดคนหนึ่ง แม้จะไม่สามารถจับต้องได้เหมือนกับธนบัตรหรือเหรียญ แต่สามารถใช้ซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการแทนเงินสดได้ในร้านที่รับชำระเงินด้วยบิทคอยน์

บิทคอยน์ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

บิทคอยน์ถูกสร้างขึ้นโดย ซาโตชิ นากาโมโตะ ซึ่งเป็นเพียงนามแฝงของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่ง ไม่มีใครทราบว่าเขาคือใคร แต่เขาได้เผยแพร่บทความ “Bitcoin: a Peer-to-Peer Electronic Cash System” ในปี 2008 ที่พูดถึงการใช้นวัตกรรม Peer-to-Peer ในการสร้างสกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ และมีการขุดบิทคอยน์ครั้งแรกในปี 2009 ซึ่งแม้ในตอนนั้นจะมีมูลค่าเท่ากับ 0 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของคริปโตสกุลแรก

บล็อกเชน ทำงานอย่างไร ?

บิทคอยน์ทำงานด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์ โดยจะมีการบันทึกข้อมูลธุรกรรมต่างๆ เป็นบล็อก แต่ละบล็อกจะเชื่อมต่อกันเหมือนโซ่ โดยมีการทำสำเนาข้อมูลในบล็อกก่อนหน้ามารวมกับบล็อกที่สร้างใหม่ อีกทั้งยังมีการเข้ารหัสไว้ จึงทำให้ข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ แต่ผู้ใช้งานทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลได้

การขุดบิทคอยน์คืออะไร ?

การขุดบิทคอยน์คือ การถอดรหัสสมการทางคณิตศาสตร์ซึ่งมีความซับซ้อน จึงต้องอาศัยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ผู้ที่ทำสำเร็จเป็นคนแรกจะได้รางวัลเป็นบิทคอยน์จำนวนหนึ่ง ซึ่งรางวัลนี้จะลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 4 ปี หรือที่เรียกว่า Bitcoin Halving โดยเริ่มครั้งแรกในปี 2012 และกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2024

บิทคอยน์ เล่นยังไง ?

การเล่นบิทคอยน์ที่คนพูดถึงกันคือ การเทรดหรือซื้อขายบิทคอยน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ลักษณะคล้ายกับการซื้อขายหุ้น แต่สิ่งที่ผู้เล่นต้องมีคือกระเป๋าเงินดิจิทัลสำหรับเก็บเหรียญ ซึ่งบางแพลตฟอร์มก็มีให้ เช่น Bitkub, Binance โดยหลังจากเปิดบัญชีเรียบร้อย ก็สามารถโอนเงินเข้าระบบและทำการซื้อขายได้ทันที ทั้งนี้ควรเลือกใช้บริการแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ หรือผ่านการรับรองจากสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อความปลอดภัย

สรุปข้อดี-ข้อเสียของบิทคอยน์

ข้อดี :

  • สะดวก ใช้ทำธุรกรรมระหว่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว ค่าธรรมเนียมถูกกว่า และใช้ชำระค่าสินค้าบริการได้หลากหลาย
  • โปร่งใส ทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมของบิทคอยน์ที่อยู่บนบล็อกเชนได้
  • ปลอดภัย ระบุตัวตนด้วย Public key และ Private key ซึ่งมีลักษณะเป็นชุดตัวเลข ไม่มีข้อมูลที่ระบุตัวตน จึงยากต่อการเจาะหรือเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว และยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยเป็น 2 เท่าในการเก็บรักษาข้อมูล
  • เป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุม และไม่ต้องอาศัยตัวกลาง เช่น ธนาคาร ในการทำธุรกรรม
  • ผลตอบแทนสูง ความผันผวนของราคา ทำให้มีโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างได้มาก

ข้อเสีย :

  • ร้านที่รับบิทคอยน์มีน้อย ประเทศไทยยังไม่รับรองให้ใช้บิทคอยน์อย่างเป็นทางการ แม้จะมีหลายร้าน หลายบริษัทที่รับชำระด้วยบิทคอยน์ แต่ก็ยังถือว่าน้อยมาก
  • ใช้งานยากกว่าเงินปกติ ต้องมีกระเป๋าเงินดิจิทัล รวมถึงขั้นตอนการโอนเงินก็ยุ่งยากกว่า
  • ความผันผวนสูง มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดความผันผวน เช่น อุปสงค์อุปทานของบิทคอยน์  ข่าวสาร กฎหมาย ความกังวลเรื่องความปลอดภัย เป็นต้น
  • ไม่มีหน่วยงานดูแล แม้ข้อดีจะทำให้บิทคอยน์มีอิสระ แต่ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงสูง เพราะไม่มีกำหนดราคาเพดาน (Ceiling) ราคาพื้น (Floor) หรือ การหยุดการซื้อขายโดยอัตโนมัติ (Circuit Breaker) อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย
  • เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้อมูลในการทำธุรกรรมด้วยบิทคอยน์ทั้งหมดจะถูกบันทึกลงบล็อกเชน และไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นหมายความว่าหากโอนผิด โอนเกิน หรือถูกหลอกให้โอน ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
  • เสี่ยงต่อการสูญหาย แม้โอกาสถูกแฮ็กจะน้อย แต่หากทำ Private Key หาย มิจฉาชีพก็สามารถเข้าถึงข้อมูลและทำการโจรกรรมได้

สำหรับแนวโน้มในอนาคต นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าภาวะตลาดหมีเริ่มมีสัญญาณที่จะสิ้นสุด จึงคาดว่าในปี 2024 มูลค่าของบิทคอยน์มีโอกาสปรับตัวขึ้น หลังนักลงทุนเริ่มกลับมาซื้อบิทคอยน์ ประกอบกับ Bitcoin Halving ครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บางส่วนแสดงความเห็นว่า แม้ที่ผ่านมาราคาบิทคอยน์จะเพิ่มสูงขึ้นหลัง Bitcoin Halving แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าครั้งนี้ราคาจะสูงขึ้นเหมือนเดิม เนื่องจากยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อราคา เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก, การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed หรือมาตรการของภาครัฐ นักลงทุนจึงต้องคอยติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด

บิทคอยน์ เสี่ยงมากมั้ย?

ความเสี่ยงในการเล่นบิทคอยน์หรือเงินคริปโต นั้นมีหลายอย่าง มันมีความเสี่ยงทั้งในเรื่องการกำกับดูแล ปัจจัยความมั่นคง การผันผวนในตลาด ตลอดจนการหลอกลวงรูปแบบต่าง ๆ หรือที่เรียกว่าอาชญากรรมคริปโต ดังนี้

  1. ปัญหาการกำกับดูแล: เรื่องการกำกับดูแลและความมั่นคงของบิทคอยน์เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากบิทคอยน์เป็นเทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมหลายๆ ด้าน ทำให้มีการต้านทานและข้อถกเถียงเกี่ยวกับกฎหมายที่มาจากฝ่ายต่างๆ ในหลายประเทศ การสร้างกฎระเบียบและการจัดเก็บภาษีคริปโตยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
  2. ปัญหาภัยโลกไซเบอร์: การใช้บิทคอยน์ถือว่าค่อนข้างซับซ้อนเมื่อเทียบกับทางเลือกชำระเงินแบบอื่น นี่จึงถือเป็นโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาฉกฉวยหาผลประโยชน์จากคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญในการใช้บิทคอยน์ โดยบิทคอยน์ได้รับการรายงานว่าเป็นเงินคริปโตที่มีอาชญากรรมไซเบอร์มากที่สุด
  3. ปัญหาความผันผวนของตลาด: เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่ผู้เล่นบิทคอยน์ต้องให้ความสำคัญ โดยต้องศึกษาทำความเข้าใจเรื่องพื้นฐานให้ถี่ถ้วน รวมทั้งติดตามข่าวสารวงการคริปโต อย่างสม่ำเสมอ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนซื้อขายบิทคอยน์ทุกครั้ง ที่สำคัญ ต้องหมั่นอัปเดตราคาเหรียญบิทคอยน์และเหรียญอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอควบคู่กันด้วย

บิทคอยน์ ถูกกฎหมายหรือยัง ?

สถานะของบิทคอยน์ในปัจจุบันแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ บางประเทศอนุญาตให้ทำการเทรดบิทคอยน์ บางประเทศให้บิทคอยน์เป็นหมือนกับสกุลเงินทั่วไป ซึ่งสามารถชำระหนี้ตามกฎหมายได้โดยถูกต้อง

บางประเทศได้มีการออกกฎหมายรับรองเงินคริปโตอย่างเป็นทางการ เช่น

  • เดือนเมษายน ปี 2017 ญี่ปุ่นอนุญาตให้บิทคอยน์ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
  • เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2019 นิวซีแลนด์ได้ประกาศให้การจ่ายเงินเดือนด้วยบิทคอยน์เป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมาย
  • เอลซัลวาดอร์เดินหน้าผลักดันการใช้บิทคอยน์ ทั้งผ่านร่างกฎหมายให้บิทคอยน์ใช้ชำระเงินได้ถูกต้องตามกฎหมาย และกระตุ้นการใช้จ่ายในร้านค้าต่าง ๆ มาโดยตลอด
  • แอฟริกลางที่ออกมารับรองบิทคอยน์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ถูกต้องตามกฎหมายเป็นประเทศที่สองของโลกเมื่อปี 2022 เป็นต้น
  • นอกจากนี้ หลายประเทศยังมีกฎระเบียบกำกับการเทรดบิทคอยน์โดยตรง เช่น ผู้ให้บริการกระดานเทรดบิทคอยน์ในสหรัฐอเมริกา จะต้องได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องภายใต้ Bank Secrecy Act
  • ธนาคารกลางของจีนออกเงินสกุลดิจิทัลของตัวเอง ชื่อว่า ‘ดิจิทัลหยวน’ โดยผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวและเริ่มใช้งานเมื่อปี 2020 รวมทั้งออกมาตรการแบนการทำธุรกรรมเกี่ยวกับคริปโตทุกรูปแบบเมื่อปี 2021
  • ประเทศไทยทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ออกกฎระเบียบการเทรดบิทคอยน์ออกมาเรียบร้อยแล้ว ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเทรดสกุลเงินดิจิทัลทุกรายจะต้องได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง

คำถามที่ถามบ่อย FAQ

ถาม : ทำไมบิทคอยน์จึงมีความเสี่ยงสูง ?

ตอบ : บิทคอยน์มีการซื้อขายกันตลอดเวลา ทุกวัน 24 ชั่วโมง โดยไม่มีหน่วยงานหรือมาตรการใดควบคุม สิ่งนี้เหมือนดาบสองคม เพราะแม้นักลงทุนจะมีโอกาสทำกำไรได้มากในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็มีโอกาสขาดทุนได้พอๆ กัน

ถาม  : บิทคอยน์ถูกกฎหมายไหม ?

ตอบ : ในประเทศไทยบิทคอยน์ไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ยังไม่ได้รับรองอย่างเป็นทางการจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามสำนักงาน ก.ล.ต. ก็มีการออกกฎเกี่ยวกับการเทรดมาเรื่อยๆ เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน

ถาม : บิทคอยน์ราคาเท่าไหร่ ?

ตอบ : ปัจจุบันมูลค่าของ 1 บิทคอยน์อยู่ที่ประมาณ 27,000 กว่าดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 ล้านกว่าบาทไทย

ถาม : บิทคอยน์ได้เงินยังไง ?

ตอบ : วิธีได้เงินจากบิทคอยน์มี 2 วิธีคือ การขุดบิทคอยน์ และการเทรดเพื่อหากำไรจากส่วนต่าง

Hardware wallet เก็บบิทคอยน์

บทความที่เกี่ยวข้อง

ขุดบิทคอยน์ คืออะไร ? คุ้มค่าไหมที่จะลงมือขุดเอง ?

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!


A side profile of a woman in a russet-colored turtleneck and white bag. She looks up with her eyes closed.

“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team

9 เรื่อง ที่มือใหม่ต้องรู้ก่อนซื้อ คริปโต

คริปโต

เชื่อว่าทุกคนคงจะเคยได้เห็นหรือได้ยินคำว่า คริปโต มาบ้างไม่มากก็น้อย เพราะในช่วงหลายปีมานี้กระแสความนิยมในคริปโต เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับมือใหม่คงยังมี คำถามและข้อสงสัยมากมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีและถูกต้องแล้ว เพราะก่อนจะลงทุนอะไรก็ตาม เราก็ควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจรอบด้าน บทความนี้จึงรวบรวมข้อมูลพื้นฐานและเรื่องราวที่นักลงทุนมือใหม่ควรต้องรู้ก่อนลงสนามคริปโตมาฝาก จะเป็นอย่างไรไปดูกัน

1. คริปโต คืออะไร ?

คริปโต เป็นชื่อเรียกย่อๆ ของ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ซึ่งเกิดจากการรวมคำว่า Cryptography ที่แปลว่าการเข้ารหัส และคำว่า Currency ที่แปลว่าสกุลเงินเข้าไว้ด้วยกัน เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลชนิดหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) โดยมีสกุลเงินหลายชนิด เช่นเดียวกับที่มีเงินบาท เงินดอลลาร์ แต่สำหรับคริปโตเคอร์เรนซีจะมีชื่อเรียกเฉพาะ เช่น บิทคอยน์ อีเธอเรียม ฯลฯ

2. คริปโต ต่างจากเงินทั่วไปอย่างไร ?

คริปโตต่างจากเงินที่เราใช้กันตรงที่มันไม่สามารถจับต้องได้ ไม่ได้เป็นเหรียญหรือธนบัตร แต่เป็นเพียงข้อมูลที่อยู่ในระบบบล็อกเชน ถูกสร้างขึ้นโดยภาคเอกชน ต่างจากเงินทั่วไปที่ออกโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ซึ่งมีมูลค่าเพราะได้รับการรับรองให้สามารถใช้ทำธุรกรรมได้อย่างถูกกฎหมาย ในขณะที่มูลค่าของคริปโตจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีคนให้ค่า หากมีคนนิยมใช้เยอะ มูลค่าก็จะสูงขึ้น

3. คริปโตดีกว่าเงินทั่วไปอย่างไร ?

การทำธุรกรรมทางการเงินปกติจะต้องทำผ่านธนาคาร แต่คริปโตไม่ต้อง เพราะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนแทน ซึ่งเชื่อมต่อได้ทั่วโลก จึงสะดวกรวดเร็วกว่า ทำธุรกรรมได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และยังเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่าด้วย อีกทั้งหลักการกระจายข้อมูลที่ทุกคนบนเครือข่ายสามารถตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมได้ ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย ความโปร่งใส การจะแก้ไขหรือปลอมแปลงจึงเป็นไปได้ยาก

4. คริปโต เล่นยังไง เหมือนการซื้อขายหุ้นไหม ?

ลักษณะการซื้อขายของคริปโตกับหุ้นใกล้เคียงกัน แต่ผลประโยชน์ที่ได้ไม่เหมือนกัน การเทรดคริปโตคือการเอาเงินบาทไปซื้อขายกับเงินอีกหนึ่งสกุล หรือเปลี่ยนเงินสกุลคริปโตจากสกุลหนึ่งไปเป็นอีกสกุล ในขณะที่การซื้อหุ้นเป็นการลงทุนในกิจการของบริษัทนั้นๆ เราจะได้สิทธิ์ต่างๆ ในฐานะผู้ถือหุ้น เช่น สิทธิ์เข้าร่วมประชุม สิทธิ์ในการออกเสียง ได้เงินปันผลจากกำไรของบริษัท เป็นต้น และที่สำคัญก็คือตลาดคริปโตเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาเปิด-ปิดเหมือนตลาดหุ้น จึงทำให้มีความผันผวนและความเสี่ยงที่สูงกว่า

5. คริปโต กับ โทเคนต่างกันอย่างไร

คริปโตและโทเคนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเหมือนกัน แต่คริปโตเป็นเหรียญที่สร้างบนเครือข่ายบล็อกเชนของตัวเอง โดยมีวัตถุประสงค์ในการใช้ชำระค่าสินค้าและบริการแทนเงิน ในขณะที่โทเคนสร้างบนบล็อกเชนของคนอื่น และทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่เฉพาะเจาะจง เช่น Investment Token ที่ทำขึ้นเพื่อระดมทุน, Gaming Token ที่ใช้ซื้อขายไอเทมในเกม, Utility Token ที่ใช้ซื้อสินค้าและบริการของที่นั้นๆ โดยเฉพาะ หรือ Non Fungible Token (NFT) ที่มีลักษณะเป็นผลงานศิลปะ ภาพวาด ภาพถ่าย เป็นต้น

6. บิทคอยน์คืออะไร ?

บิทคอยน์ คือสกุลคริปโตสกุลแรกของโลก ถูกสร้างขึ้นในปี 2009 โดยซาโตชิ นากาโมโตะ และเนื่องจากปริมาณที่มีอย่างจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ ทำให้มูลค่าของบิทคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น จากในช่วงแรกที่บิทคอยน์ 1 เหรียญ มีมูลค่าเท่ากับ 0.000764 USD หรือเพียงไม่กี่สตางค์ ก็พุ่งทะยานไปแตะ 69,000 USD หรือประมาณ 2.5 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบิทคอยน์ถูกขุดออกมาแล้วประมาณ 18.8 ล้านเหรียญ และคาดว่าจะขุดได้ครบ 21 ล้านเหรียญภายในปี 2140

7. อีเธอเรียมคืออะไร ?

อีเธอเรียม เป็นหนึ่งในสกุลคริปโตเคอเรนซี ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้บิทคอยน์ เพราะมีความพิเศษกว่า เนื่องจากอีเธอเรียม มีเครือข่ายบล็อกเชนที่รองรับโปรแกรม Smart Contract หรือสัญญาอัจฉริยะ ที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถใช้งานได้ เช่น การสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApps) การให้บริการทางการเงินที่ไม่ผ่านธนาคาร (DeFi), การสร้าง NFT Non-Fungible Token, การระดมทุนผ่าน ICO ในธุรกิจสตาร์ทอัพ เป็นต้น ซึ่งผู้ที่ต้องการใช้ Smart Contract ก็ต้องมีเหรียญอีเธอเรียม จึงทำให้ความนิยมและมูลค่าของอีเธอเรียมเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง

8. ไทยมีเหรียญคริปโตหรือไม่ ?

อย่างที่บอกว่าคริปโตถูกสร้างขึ้นโดยภาคเอกชน หลายบริษัทของไทยจึงมีการสร้างคริปโตขึ้นด้วยเหมือนกัน เหรียญที่ได้รับความนิยม เช่น Bitkub Coin (KUB) ของ Bitkub Exchange , JFIN Coin (JFIN) ของ JMART Group, SIX Coin (SIX) ของ Six Network, Alpha Finance (ALPHA) ของ Alpha Finance Lab เป็นต้น

9. คริปโต ใช้ในไทยได้จริงไหม ?

คริปโตสามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้หลายแห่งในประเทศไทย เช่น Major Cineplex, ร้านกาเเฟอินทนิล ในปั๊มบางจาก, The Mall Group, สายการบิน Bangkok Airways รวมถึงในวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์, แสนสิริ และอีกมากมาย อย่างไรก็ตามถือว่ายังอยู่ในวงที่จำกัดมาก และธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังออกมาประกาศไม่สนับสนุนให้นำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ราคามีความผันผวนสูง เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ และยังเป็นช่องทางฟอกเงิน หรือซื้อ-ขายสินค้าผิดกฎหมายได้อีกด้วย

เราก็คงต้องมาคอยติดตามกันต่อไปว่า ในอนาคตประเทศไทยจะมีการรับรอง หรือออกมาตรการอะไรเกี่ยวกับคริปโตมาเพิ่มหรือไม่ อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีผู้สนใจลงทุนในคริปโตอยู่ไม่น้อย เพราะเชื่อว่าคริปโตจะมีบทบาทและมูลค่าที่สูงขึ้นในอนาคต ประกอบกับความผันผวนของราคาในปัจจุบันที่แม้จะสูงมาก แต่ก็ทำให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนจากส่วนต่างได้มากเช่นเดียวกัน

Hardware wallet เก็บบิทคอยน์

บทความที่เกี่ยวข้อง

4 อันดับ เทรดคริปโต ที่ไหนดี สำหรับคนไทย ที่ได้รับการรับรองจาก กลต ปี 2023

ขุดบิทคอยน์ คืออะไร ? คุ้มค่าไหมที่จะลงมือขุดเอง ?

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!


A side profile of a woman in a russet-colored turtleneck and white bag. She looks up with her eyes closed.

“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team

3 เว็บเทรดคริปโต ต่างประเทศ มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2023

เทรดคริปโต เป็นอีกหนึ่ง การลงทุนที่กำลังมาแรง ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะ บิทคอยน์ ที่หลายๆคนพูดถึง แต่เราจะเริ่มต้นศึกษา เทรดคริปโต เริ่มยังไง ที่ไหนดี ? ในโลกคริปโตนั้นมีเว็บเทรดให้เราเลือกใช้ถึง 300 กว่าเว็บเลยทีเดียว ซึ่งเว็บเทรดคริปโต เหล่านี้ เราจะเรียกว่าเป็นกระดานเทรดหรือ Exchange ที่เป็นเหมือนเป็นพื้นที่ให้เหล่าผู้ถือสินทรัพย์ดิจิทัลได้นำสกุลเงินคริปโตต่าง ๆ มาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเหมือนกระดานหุ้นที่เราคุ้นเคย

วันนี้ GoalBitcoin จะมาขอแนะนำ 3 อันดับ เว็บเทรดคริปโต ในต่างประเทศ ที่น่าสนใจและมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2023 เผื่อเป็นส่วนช่วยในการตัดสินใจของแต่ละคน มีเจ้าไหนบ้าง ไปดูกัน

เว็บเทรดบิทคอยน์ 2023

1. Binance.com

Binance เป็นเว็บเทรดคริปโต อันดับ 1 ของโลก มีจำนวนผู้ใช้งานมากจากทั่วโลก เป็นเว็บเทรดคริปโตที่รองรับหลายสกุลเงิน ทั้งมีเหรียญคริปโตให้เทรดจำนวนมาก จำนวน 1591 คู่ 803 เหรียญในกระดานเทรดและปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่  $3,531,572,692 ก่อตั้งเมื่อปี 2017 มี CEO ชื่อ Changpeng Zhao  ในเว็บมีหลายฟั่งชั่นที่น่าสนใจมากมาย เรามาทำความเข้าใจว่าทำไม Binance ถึงเป็นอันดับ 1 ได้

Binance เป็นอันดับ 1 เพราะมีประวัติการทำงานที่มั่นคงและตอบสนองความต้องการของนักลงทุนในวงการคริปโตอย่างมีประสิทธิภาพ โดย Binance เปิดให้การซื้อขายสกุลเงินคริปโตมากมาย และการเพิ่มสกุลเงินใหม่ใน Binance จะทำให้ราคาของสกุลเงินนั้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความว่านักลงทุนสามารถมีโอกาสในการลงทุนและกำไรได้มาก แต่ก็มีความเสี่ยงที่ราคาสกุลเงินนั้นจะลดลงหากถูกนำออกจาก Binance ด้วยปัญหาต่าง ๆ

สิ่งที่ทำให้ Binance น่าสนใจยังคงเป็นการที่คนไทยสามารถนำเงินเข้า Binance ได้ง่ายๆ ผ่านระบบ P2P ซึ่งช่วยให้คนไทยสามารถใช้เงินในบัญชีธนาคารในการซื้อขายและแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ Binance ยังเป็นผู้ให้บริการเป็นเวลามากกว่า 5 ปีและมีประวัติการรับมือกับการโจมตีจากแฮ็กเกอร์ โดยมักจะยึดเงินแฮ็กเกอร์คนเหล่านั้นแทน นั่นหมายความว่าความน่าเชื่อถือของ Binance ยังคงสูงมาก

โดยเหรียญที่นิยมเทรดมากสุด 10 อันดับ ในเว็บ Binance.com ตามรูปด้านล่าง

สำหรับการเทรดบนกระดานเทรด Binance นั้นมีให้เลือกโหมดสำหรับตลาด Spot: Basic, Advanced และ Margin ส่วนตลาด Future ก็มีให้ Leverage  และยังมีให้เทรดแบบ Peer-to-Peer อีกด้วย

อัตราค่าธรรมเนียมของ Binance โดยรวมๆ แล้ว จะคิดค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 0.10 % แต่หากใครใช้โทเคนของ BNB จะมีส่วนลด 50%  Binance สามารถใช้งานได้ทั้งกับมือถือ Google, Android. iOS รวมถึง Desktop มีระบบซัพพอร์ตลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง


2. Coinbase.com

มาเป็นอันดับ 2  ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $447,166,356 มีเหรียญดิจิตอลอื่นๆให้เทรดจำนวนมากกว่า 500 คู่ 250 เหรียญในกระดานเทรด

Coinbase เป็นเว็บไซต์ที่มีอิทธิพลในวงการคริปโต ถือเป็นอีกตัวเลือกที่สำคัญ โดยเป็นรองแค่ Binance ถ้าเราสังเกตข้อมูลจะพบว่า Coinbase มีจำนวนผู้ใช้งานจำนวนมากจากอเมริกาและมีระบบคัดกรองสกุลเงินที่เคร่งครัดอย่างมาก

การใช้งาน Coinbase จะมีลูกเล่นน้อยกว่าเว็บเทรดคริปโตเจ้าอื่นๆ แต่ เว็บ Coinbase ถือเป็นเว็บที่น่าเชื่อถือมาก เพราะบริษัทเราเพิ่ง IPO ในตลาดหุ้นอเมริกาไม่นานมานี้ จดอยู่ในทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Coinbase สามารถสร้างความมั่นใจให้ทั้งด้านนักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแล SEC และผู้คนทั่วไป กระดานเทรดนี้แม้จะมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าคู่แข่งรายอื่น แต่ก็แลกกับความสะดวก ความง่าย

เทรดบิทคอยน์ Coinbase

3. Kraken.com

เป็น เว็บเทรดคริปโต จากอเมริกา ที่มีปริมาณการซื้อขาย  มาเป็นอันดับ 3   ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $293,334,598 มีเหรียญดิจิตอลอื่นๆให้เทรดจำนวนมากกว่า 653 คู่ 226 เหรียญในกระดานเทรด เป็นเว็บซื้อขาย altcoins ที่มีสภาพคล่องมากที่สุดในอเมริกา ในเดือนกรกฎาคม


วิธีการเลือก “เว็บเทรดคริปโต”

กระดานเทรดคริปโต จัดว่าเป็นสิ่งที่ค่อนข้างใหม่สำหรับนักลงทุนหลายคน อีกทั้ง คริปโตเคอร์เรนซีเองก็เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ดังนั้น การจะเลือกใช้งานกระดานเทรดคริปโตใดๆ เราจำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่างๆ ให้รอบด้านเสียก่อน ต่อไปนี้คือหัวข้อต่างๆ ที่คุณควรจะตรวจสอบก่อนเลือกใช้งาน เว็บเทรดคริปโต

  • ความปลอดภัย: หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการดูว่าเว็บเทรดดังกล่าวให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยมากเพียงใด เนื่องจากมันจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรามั่นใจและไว้วางใจในการฝากเงินทุนของเราไว้กับเว็บเทรดนี้ได้
  • เหรียญที่รองรับ: ก่อนที่คุณจะตัดสินใจใช้งานเว็บเทรด คุณควรที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บเทรดดังกล่าวรองรับเหรียญที่คุณต้องการจะทำการซื้อขาย
  • วิธีการชำระเงิน: หากคุณเป็นมือใหม่ในเรื่องการลงทุน การที่เว็บเทรดรองรับการซื้อขายด้วยสกุลเงินเฟียตก็ถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญเช่นกัน มิเช่นนั้น มันอาจจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากยิ่งขึ้น (เพราะคุณจำเป็นที่จะต้องหาแพลตฟอร์มอื่นๆ ในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินเฟียตไปเป็นคริปโตเสียก่อน)
  • ขีดจำกัดในการฝาก/ถอน: อีกหนึ่งหัวข้อที่สำคัญที่นักเทรดรายวันควรจะรู้เอาไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะช่วยให้คุณบริหารพอร์ตการลงทุนของคุณได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ: แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้มาฟรีๆ ดังนั้น การทำธุรกรรมต่างๆ บนเว็บเทรดคริปโตนั้นมักจะมีค่าธรรมเนียมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น การฝาก/ถอน, การซื้อขายต่างๆ โปรดตรวจสอบและทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่างๆ ของเว็บเทรดนั้นๆ ให้ดี
  • สภาพคล่องของเว็บเทรด: ยิ่งเว็บเทรดมีสภาพคล่องมากเพียงใด การซื้อขายสินทรัพย์ของคุณก็จะเป็นไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น หนึ่งในวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดคือการตรวจสอบปริมาณการซื้อขายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาของเว็บเทรดนั้นๆ
  • กฏระเบียบและข้อบังคับ: หากเว็บเทรดคริปโตที่คุณเลือกใช้งานได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของประเทศนั้นๆ มันก็จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจในการใช้งานเว็บเทรดเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น

เลือก “เว็บเทรดคริปโต” ที่เหมาะสมกับคุณ

เว็บเทรดคริปโต เปรียบเสมือนดั่งตัวกลางที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการซื้อขายหรือทำกำไรจากการลงทุนในคริปโต ดังนั้น คุณจึงควรพิจารณาในการเลือกใช้งานอย่างรอบคอบ ลองศึกษาข้อมูลของเว็บเทรดคริปโตต่างๆ ให้ละเอียด ทั้งเรื่องค่าธรรมเนียม (ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหรือค่าธรรมเนียมแฝงอื่นๆ), เหรียญที่เว็บรองรับ, ความน่าเชื่อถือ, ชื่อเสียง, รีวิวจากผู้ใช้งานจริง และอื่นๆ อีกมากมาย ยิ่งคุณมีรายละเอียดมากเท่าใด คุณก็ยิ่งมีข้อได้เปรียบอยู่ในมือคุณเท่านั้น!


Hardware wallet เก็บบิทคอยน์

บทความที่เกี่ยวข้อง

4 อันดับ เทรดคริปโต ที่ไหนดี สำหรับคนไทย ที่ได้รับการรับรองจาก กลต ปี 2023

ขุดบิทคอยน์ คืออะไร ? คุ้มค่าไหมที่จะลงมือขุดเอง ?

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!

คนรวยด้วยบิทคอยน์ มีสักกี่คน? มือใหม่อยากรวย ตามมาดูกัน


A side profile of a woman in a russet-colored turtleneck and white bag. She looks up with her eyes closed.

“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team

LUNA Effect ปรากฏการณ์สั่นสะเทือนวงการคริปโต สู่ข่าวบิทคอยน์ร่วงอย่างรุนแรง

หากย้อนกลับไปประมาณ 1-2 ปีที่ผ่านมา หลายคนคงจะได้ยิน ข่าวบิทคอยน์ กันจนชิน เพราะเป็นช่วงที่ตลาดคริปโตได้รับความนิยมสูงมาก สถาบันขนาดใหญ่ก็เริ่มเข้ามาลงทุนมากขึ้น จนทำให้ราคาปรับสูงขึ้นหลายเท่า และทวีความผันผวนมากขึ้นไปอีก โดยในปี 2020 มูลค่าต่ำสุดของบิทคอยน์อยู่ที่ 3,850 ดอลลาร์เท่านั้น แต่ภายในเวลาไม่นาน ในปี 2021 มูลค่าของบิทคอยน์ก็ไปแตะจุดสูงสุดที่ 64,895.22 ดอลลาร์ แน่นอนว่านักลงทุนที่เก็งกำไรย่อมได้ผลตอบแทนมหาศาล และนั่นก็ยิ่งดึงดูดให้นักลงทุนหน้าใหม่กระโดดเข้าไปร่วมวงด้วย แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั้งวงการคริปโต จนทำให้นักลงทุนเจ็บตัวไปตามๆ กัน บทความนี้จะมาเล่าให้ฟังว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และมีใครได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้บ้าง

ปรากฏการณ์เทขาย UST

จุดเริ่มต้นมาจากเหรียญ UST ของเครือข่าย Terra ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 เป็น Stable Coin ที่มีกลไกควบคุมมูลค่าด้วยเหรียญ Luna จากเครือข่ายเดียวกัน เพื่อรักษาความเสถียรภาพของเหรียญให้ตรึงราคาไว้ที่ 1 ดอลลาร์ ซึ่งนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนที่นำไปสู่ปรากฏการณ์เทขายเหรียญ UST ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2022 ที่มีมูลค่ารวมถึง 285 ล้านดอลลาร์ ทำให้ราคา UST ลดลงจนเกิด Panic Sell เป็นวงกว้าง นักลงทุนคนอื่นๆ พากันเทขายทั้งเหรียญ UST และ Luna จนทำให้ราคาของ UST ไม่สามารถกลับมายืนที่ 1 ดอลลาร์ได้ ในขณะที่เหรียญ Luna เองก็มีมูลค่าลดลงไปมากกว่า 99% และถูกถอดออกจากกระดานเทรดในเวลาต่อมาเพียงไม่กี่วัน พร้อมฉุดตลาดคริปโตให้ร่วงไปตามๆ กัน

การล่มสลายของ LUNA และ UST ส่งผลต่อ ข่าวบิทคอยน์ อย่างไร

บิทคอยน์ ร่วง

หลายคนอาจจะคิดว่าการที่ตลาดเกิด Panic Sell คงส่งกระทบต่อข่าวบิทคอยน์ในเรื่องมูลค่าที่ลดลงเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังมาจากเป้าหมายในการ Short บิทคอยน์ เพราะก่อนหน้านี้กองทุน Luna Foundation Guard (LFG) เพิ่งเข้าซื้อบิทคอยน์เพื่อนำมาเป็นเงินสำรอง แต่ใครจะคิดว่าสิ่งนี้กลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือโจมตีจนทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน LFG จึงประกาศปล่อยกู้บิทคอยน์เป็นมูลค่ากว่า 750 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และพยุงราคาของ UST ให้กลับมายืนที่ 1 ดอลลาร์ให้ไวที่สุด แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล และราคาบิทคอยน์ก็ยังปรับตัวลดลงมากกว่า 56% จากจุดสูงสุดในช่วงปลายปี 2021

สรุปผลกระทบจาก Luna Effect

  • 3AC กองทุนเฮดจ์ฟันด์คริปโต ยื่นขอล้มละลาย ด้วยเหตุผลว่ามูลค่าสินทรัพย์หายไปจากราคาคริปโตที่ดิ่งลงอย่างหนัก โดยเฉพาะการลงทุนใน LUNA ที่มีมูลค่ากว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการใช้กลยุทธ์เทรดสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง ก็ทำให้สินทรัพย์กองทุนไม่เพียงพอที่จะจ่ายคืนนักลงทุนและเจ้าหนี้อีกหลายราย
  • Voyager Digital กระดานเทรดคริปโต ยื่นขอล้มละลายเป็นรายต่อมา เพราะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ 3AC ซึ่งผิดนัดชำระหนี้ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนทำให้ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง
  • Celsius แพลตฟอร์มกู้ยืมคริปโต ยื่นขอล้มละลายเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ Celsius เพิ่งปลดหนี้ที่กู้ยืมจาก Compound Aave และ Make มูลค่ากว่า 820 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงตกอยู่ในสภาวะขาดสภาพคล่องอย่างหนัก
  • Zipmex Thailand แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ระงับการถอนเงินบาทและคริปโตชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่ามาจากความผันผวนของตลาด และปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นจากคู่ค้าทางธุรกิจหลัก ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัท โดยบริษัทแม่ของ Zipmex ได้นำสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้ใช้บริการไปลงทุนกับ Babel Finance และ Celsius ที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง จนนำไปสู่การยื่นขอล้มละลาย และทำให้เกิดการฟ้องร้องในเวลาต่อมา
  • SCBX ยกเลิกธุรกรรมซื้อหุ้น Bitkub หลังตลาดคริปโตซบเซา ทำให้เหรียญ KUB ร่วงทันที 22%
  • CEO ของ Binance ประกาศขาย FTT ซึ่งเป็นโทเคนของเว็บเทรด FTX ทั้งหมดในบัญชี เนื่องจากตรวจพบว่า FTX นำเงินของลูกค้าไปให้ Alamenda Research ค้ำประกัน เพื่อกู้เงินไปใช้ในการลงทุน ราคาเหรียญจึงดิ่งลงกว่า 10% ตามมาด้วยการแห่ถอนเหรียญจน FTX ต้องประกาศหยุดถอนเหรียญชั่วคราว แม้ Binance ประกาศจะเข้าซื้อ แต่สุดท้ายก็ยกเลิก FTX จึงยื่นขอล้มละลาย
  • BlockFi ประกาศระงับการถอนเงินของลูกค้า และยื่นขอล้มละลาย เพราะปัญหาหนี้สินและสภาพคล่อง อีกทั้งยังต้องจ่ายค่าปรับถึง 100 ล้านดอลลาร์ ฐานกระทำผิดทางกฎหมาย นำเงินของลูกค้าไปปล่อยกู้
  • Genesis ได้รับผลกระทบในฐานะเจ้าหนี้ของ 3AC ที่ล้มละลาย และ Babel Finance ที่ขาดทุนหนัก อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของ FTX ที่ลงทุนไปกว่า 175 ล้านดอลลาร์

จากปรากฏการณ์เทขายเหรียญ นำมาสู่มหากาพย์ที่ส่งผลกระทบบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการคริปโตล้มต่อกันเหมือนโดมิโน ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยก็ต้องสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมากจากมูลค่าของเหรียญที่ลดลง สิ่งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ตอกย้ำถึงความเสี่ยงในการลงทุน เพราะแม้เหรียญ UST ที่ถือเป็น Stable coin ที่มีความผันผวนต่ำ และได้รับความนิยมสูง ก็มีโอกาสที่มูลค่าจะลดลงจนแทบไม่เหลือ เพราะฉะนั้นนักลงทุนจึงควรศึกษาทำความเข้าใจ และคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนในวงการคริปโตที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา


Hardware wallet เก็บบิทคอยน์

คำถามที่ถามบ่อย FAQ

ถาม : ภาพรวมของข่าวบิทคอยน์ในปี 2023 เป็นอย่างไร?

ตอบ : ภาพรวมของบิทคอยน์ในปี 2023 มีการปรับตัวสูงขึ้นหลังผ่านพ้นวิกฤตที่เกิดจากการเทขายเหรียญ UST ในปี 2022 ซึ่งนักวิเคราะห์ก็คาดการณ์กันว่ามูลค่าน่าจะเติบโตขึ้นอีกในอนาคต ทั้งนี้ความผันผวนของราคาบิทคอยน์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง นักลงทุนจึงต้องคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด

ถาม : ข่าวบิทคอยน์ร่วงเกิดจากอะไร ?

ตอบ : มูลค่าบิทคอยน์มักลดลงจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) รวมถึงอุปสงค์และอุปทาน หรือความนิยมในตัวบิทคอยน์เอง ที่ปัจจุบันก็ต้องแข่งขันกับเหรียญคริปโตอื่นๆ ในตลาดด้วย

ถาม : ข่าวบิทคอยน์ล้มละลายจริงไหม ?

ตอบ : บิทคอยน์ไม่ได้ล้มละลาย แต่ราคาปรับตัวลงอย่างมากในช่วงปี 2022 เนื่องมาจากปรากฏการณ์เทขายเหรียญ UST ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตโดยรวม จนทำให้บางบริษัทต้องขอยื่นล้มละลายเนื่องจากขาดสภาพคล่องหรือไม่สามารถชำระหนี้ได้ในขณะที่บิทคอยน์ก็ยังมีการซื้อขายต่อไปตามปกติ


บทความที่เกี่ยวข้อง

4 อันดับ เทรดคริปโต ที่ไหนดี สำหรับคนไทย ที่ได้รับการรับรองจาก กลต ปี 2023

ขุดบิทคอยน์ คืออะไร ? คุ้มค่าไหมที่จะลงมือขุดเอง ?

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!


A side profile of a woman in a russet-colored turtleneck and white bag. She looks up with her eyes closed.

“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team

บิทคอยน์ เล่นยังไง มือใหม่ เงินทุนน้อย ก็เล่นได้

การซื้อขายบิทคอยน์ เป็นการลงทุนประเภทหนึ่งที่สามารถสร้างกำไรหรือผลตอบแทนได้จากความผันผวนของราคา เพราะมูลค่าของบิทคอยน์ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาด จึงทำให้มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนประเภทอื่น แต่ก็เชื่อว่ามีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่พร้อมรับความเสี่ยง และอยากจะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเป็นกระแสในช่วงหลายปีมานี้ บทความนี้จึงจะมาแนะนำวิธีการว่า บิทคอยน์ เล่นยังไง นักลงทุนมือใหม่ตามไปดูกันได้เลย

บิทคอยน์ คือ อะไร ?

ก่อนจะไปดูวิธีการว่า เล่นบิทคอยน์ ยังไง นักลงทุนควรทำความเข้าใจพื้นฐานของบิทคอยน์กันก่อน สิ่งที่เรียกว่าบิทคอยน์นี้ คือสินทรัพย์ดิจิทัล หรือที่หลายคนเรียกว่าคริปโตเคอร์เรนซี เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายสินค้าและบริการเหมือนเงินสด ได้รับความนิยมมากกว่าเหรียญอื่นๆ เพราะเป็นเหรียญคริปโตสกุลแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อคนนิยมมากและยังได้รับการยอมรับจากบริษัทห้างร้านต่างๆ  ก็ทำให้มีสภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย รวมถึงขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยากด้วย ส่วนวิธีการเล่นบิทคอยน์นั้นมีด้วยกัน 2 รูปแบบ ดังนี้

มือใหม่ต้องดู ! บิทคอยน์ เล่นยังไง แบบไหนคุ้มกว่า ?

  • การขุดบิทคอยน์

วิธีแรกก็คือการขุดบิทคอยน์ โดยอาศัยเครื่องมือขุดคือ คอมพิวเตอร์ที่มีพลังในการประมวลผลสูง มาช่วยถอดรหัสแก้สมการ เมื่อทำสำเร็จก็จะได้รางวัลเป็นเหรียญบิทคอยน์ที่สามารถนำไปซื้อขายหรือชำระค่าสินค้าบริการได้ ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ เราอาจจะซื้อมาประกอบเอง หรือซื้อเครื่องขุดบิทคอยน์แบบสำเร็จรูป (ASIC) ที่ออกแบบมาสำหรับการขุดบิทคอยน์โดยเฉพาะก็ได้ วิธีนี้ดูเหมือนจะง่าย แค่เซตระบบ ตั้งค่า และให้เครื่องทำงานไปเรื่อยๆ ก็ได้บิทคอยน์มาฟรีๆ แต่อย่าลืมว่าต้องอาศัยเงินลงทุนในการซื้ออุปกรณ์ ที่ยิ่งประสิทธิภาพสูงก็ยิ่งมีราคาแพง และยังตามมาด้วยค่าไฟที่สูงขึ้น เพราะฉะนั้นนักลงทุนมือใหม่จึงควรคำนวณความคุ้มค่าของผลตอบแทน ระยะเวลาในการคืนทุน และเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย

อีกหนึ่งวิธีเล่นบิทคอยน์มือใหม่ที่สะดวกกว่า ก็คือการเช่าเครื่องขุดบิทคอยน์ (Cloud Mining) จากผู้ให้บริการต่างๆ เหมือนจ้างคนขุดให้ ไม่ต้องซื้อเครื่องเอง เป็นวิธีที่สะดวกและใช้เงินทุนน้อยกว่า สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ เพราะเขาจะมีแพ็กเกจให้เลือกหลากหลาย ผลตอบแทนจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังการประมวลผลที่เราเลือก

  • เทรดบิทคอยน์

การขุดบิทคอยน์อาจจะไม่ใช่ทางที่ถนัดสำหรับหลายๆ คน อีกวิธีหนึ่งที่จะสร้างผลตอบแทนได้จึงเป็นการเทรด ซึ่งเป็นวิธีเล่นบิทคอยน์มือใหม่ที่นิยมมากกว่า หากใครที่เคยเล่นหุ้นอยู่แล้ว ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะหลักการใกล้เคียงกัน แต่สำหรับใครที่ไม่เคยลงทุนมาก่อน และสงสัยว่าบิทคอยน์เล่นยังไง ก็สามารถทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

  • เลือกเว็บที่ใช้เทรดบิทคอยน์ เช่น Binance หรือ Bitkub (ในที่นี้ขอยกตัวอย่างการใช้งานจากเว็บ Bitkub )
  • ลงทะเบียนสมัครสมาชิกผ่านคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือแท็บเล็ต
  • ยืนยันตัวตน และรอผลการอนุมัติ
  • เพิ่มบัญชีธนาคาร และกดฝากเงิน ซึ่งสามารถทำได้ 2 ช่องทางคือ ฝากเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือสแกน QR Code เพื่อฝากเงินด้วยแอปพลิเคชันธนาคาร
  • วิธีซื้อบิทคอยน์ให้ไปที่ ตลาดซื้อขาย กดเลือกเหรียญบิทคอยน์ ใส่จำนวนเงินและราคาเหรียญที่ต้องการซื้อ จากนั้นก็ส่งคำสั่งเข้าระบบได้เลย

เท่านี้นักลงทุนก็สามารถเป็นเจ้าของบิทคอยน์ได้แล้ว ส่วนการเทรดก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน บางคนอาจจะซื้อสะสมเก็บไว้ เผื่อในอนาคตมูลค่าเพิ่มค่อยนำมาขาย หรือหากบิทคอยน์ได้รับการยอมรับที่กว้างขวางกว่านี้ค่อยนำมาใช้ ในขณะที่บางคนก็อาจจะเทรดบิทคอยน์ระยะสั้น ซื้อมาขายไปตามความผันผวนของราคาเหมือนกับการเทรดหุ้น แต่ที่ไม่เหมือนและต้องจำให้ขึ้นใจก็คือ ตลาดคริปโตเปิดตลอดเวลา วันละ 24 ชม. 7 วันต่อสัปดาห์ ดังนั้นราคาจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ นอนหลับไปตื่นมาราคาก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว อาจจะทำให้ได้กำไรมหาศาล หรือขาดทุนมหาศาลได้พอๆ กัน


Hardware wallet เก็บบิทคอยน์

คำถามที่ถามบ่อย FAQ

ถาม : เล่นบิทคอยน์ ได้เงินยังไง ?

ตอบ : การเล่นบิทคอยน์ให้ได้เงินมี 2 วิธี คือการขุดบิทคอยน์และนำไปแลกเป็นเงิน ซึ่งแม้จะได้บิทคอยน์มาเลยฟรีๆ แต่ก็ต้องลงทุนค่าอุปกรณ์รวมถึงค่าไฟด้วย หรือใช้วิธีการเทรด โดยกดซื้อบิทคอยน์ เมื่อราคาเพิ่มสูงขึ้นก็ขายทำกำไรจากส่วนต่าง และสามารถถอนเงินออกมาใช้ได้

ถาม : ซื้อบิทคอยน์ 100 บาท ได้ไหม ?

ตอบ : ได้แน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการด้วย อย่างเว็บ Bitkub มียอดขั้นต่ำในการฝากเงินเพียงแค่ 40 บาท และขั้นต่ำในการซื้อขายบิทคอยน์มูลค่าเริ่มต้น 10 บาทเท่านั้น

ถาม : เล่นบิทคอยน์ แอพไหนดี ?

ตอบ : ปัจจุบันแอพที่เปิดให้เล่นบิทคอยน์มีจำนวนมาก จะเลือกแอพไหนดี ควรดูจากปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ความปลอดภัย ความสะดวกในการใช้งาน ค่าธรรมเนียม ตัวอย่างเว็บเทรดบิทคอยน์ที่นิยม เช่น Binance, Bitkub, Satang Pro, Bitazza เป็นต้น

ถาม : เทรดบิทคอยน์ระยะสั้น หรือระยะยาวดีกว่ากัน ?

ตอบ : การเทรดบิทคอยน์ทั้ง 2 แบบ มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน รวมถึงกลยุทธ์ที่ใช้ก็ไม่เหมือนกัน การเทรดระยะสั้น ได้กำไรน้อย มีโอกาสได้กำไรบ่อย แต่โอกาสขาดทุนก็สูงเช่นกัน จึงต้องอาศัยการจับจังหวะที่ดี ควบคู่ไปกับการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ส่วนการเทรดระยะยาว หากหาจุดเข้าซื้อที่ดี ปล่อยไว้เฉยๆ ก็มีโอกาสได้กำไรเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่ก็เสี่ยงกับการขาดทุนเพิ่มขึ้นจนหากราคาตกลงเรื่อยๆ


บทความที่เกี่ยวข้อง

4 อันดับ เทรดคริปโต ที่ไหนดี สำหรับคนไทย ที่ได้รับการรับรองจาก กลต ปี 2023

ขุดบิทคอยน์ คืออะไร ? คุ้มค่าไหมที่จะลงมือขุดเอง ?

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!


A side profile of a woman in a russet-colored turtleneck and white bag. She looks up with her eyes closed.

“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team

4 อันดับ เทรดคริปโต ที่ไหนดี สำหรับคนไทย ที่ได้รับการรับรองจาก กลต ปี 2023

แม้ว่าตลาดคริปโตจะมีความผันผวนมาก จนเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง นั่นก็อาจเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ ที่ทำให้คนมองหาช่องทางในการออมเงินและสร้างรายได้ ซึ่งคริปโตก็เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์ได้ดี เพราะความผันผวนที่สูง ก็นำมาซึ่งโอกาสที่มากขึ้น และผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ก่อนจะเริ่มเทรด นักลงทุนมือใหม่ก็มักมีคำถามว่าจะ เทรดคริปโต ที่ไหนดี เพราะมีให้เลือกหลากหลายมาก บทความนี้จึงจะมาแนะนำ 4 แพลตฟอร์มเทรดคริปโต ที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับคนไทย และยังได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ด้วย

เทรดคริปโต ที่ไหนดี ?

Bitkub

Bitkub เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2018 และปัจจุบันก็มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศไทย ครองส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 90% จึงทำให้มีสภาพคล่องสูง มีมูลค่าซื้อขายบนกระดานมากกว่า 300 ล้านบาทต่อวัน และยังซื้อขายเหรียญต่างๆ ได้เกือบร้อยชนิด เช่น Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Tether (USDT) มีกระเป๋าเงินคริปโตที่สามารถฝากถอนได้ด้วยเงินบาท พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลในทุกช่องทาง ยอดขั้นต่ำในการฝากเพียง 40 บาทเท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่อครั้งอยู่ที่ 0.25%


InnovestX

InnovestX เป็นแอปพลิเคชันลงทุนของธนาคารไทยพาณิชย์ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา เพื่อใช้แทน SCB Easy Invest เดิม ซึ่งเมื่อมีชื่อของธนาคารไทยพาณิชย์มาการันตี ก็ทำให้นักลงทุนเชื่อถือ โดยเฉพาะในเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัย จุดเด่นคือเป็นแอปพลิเคชันที่รวมทุกการลงทุนไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุนรวม ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ดิจิทัล ถ้าไม่รู้จะเทรดคริปโต ที่ไหนดี แอปนี้แนะนำเลย สะดวกสบายมาก ไม่ต้องเสียเวลาเข้าหลายแอป สมัครหลายบัญชี และยังทำให้เห็นภาพรวมของการลงทุนได้ดีขึ้นด้วย จัดเต็มด้วยฟังก์ชันต่างๆ มากมาย ที่โดดเด่นเลยก็คือ Intelligent Portfolios หรือบริการบริหารพอร์ตอัตโนมัติ ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ หรือคนที่ไม่ค่อยมีเวลา โดยอาศัยตัวช่วยคือเทคโนโลยีสุดอัจฉริยะ ที่จะทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในด้านการลงทุน ช่วงวางแผน ดูแล ปรับพอร์ตให้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องส่งคำสั่ง ค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่อครั้งอยู่ที่ 0.20%


Satang Pro

Satang Pro เป็นกระดานแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นในปี 2017 ซึ่งถือเป็นช่วงบุกเบิกคริปโตในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ จึงทำให้นักลงทุนไว้วางใจและนิยมใช้กันมาก นอกจากนี้ผู้ก่อตั้งยังเป็นคุณปรมินทร์ อินโสม ผู้สร้างเหรียญ FIRO ซึ่งเป็นเหรียญ Privacy Coin ที่ได้การยอมรับในระดับโลก จุดเด่นคือระบบฝากถอนที่รวดเร็ว จึงสามารถทำธุรกรรมได้แบบไม่มีสะดุด และยังมีฟีเจอร์ Multiple Network ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถโอนเหรียญไปยังกระเป๋า หรือกระดานอื่นๆ ทั้งไทยและต่างประเทศได้โดยตรง จึงประหยัดทั้งเวลาและค่าธรรมเนียม เพราะไม่ต้องโอนหลายต่อ ผ่านการรับรองจาก ก.ล.ต. และยังรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลด้วย ISO 27001 & ISO 27701


Bitazza

Bitazza เป็นแพลตฟอร์มบริหารสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยที่เติบโตไปถึงต่างประเทศ มีผู้ใช้งานกว่า 1 ล้านคน ทั้งในไทย, มาเลเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ โดยทำหน้าที่เป็นโบรกเกอร์หรือนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล จับคู่คำสั่งซื้อขายบนแพลตฟอร์มกับกระดานเทรดทั่วโลก จึงมีสภาพคล่องสูง รูปแบบของแพลตฟอร์มใช้งานง่าย และประมวลผลคำสั่งได้รวดเร็ว มีฟีเจอร์จำลองการเทรดที่สมจริงให้ฝึกฝน ไม่มีขั้นต่ำในการฝากเงิน ส่วนขั้นต่ำในการถอนเงินอยู่ที่ 100 บาท และขั้นต่ำในการเทรดอยู่ที่ 350 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่อครั้ง 0.25%


            การเลือกเว็บเทรดคริปโตเสมือนก้าวแรกของการลงทุนที่ควรจะมีความมั่นคง เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกกระดานเทรดที่มีความปลอดภัย น่าเชื่อถือ สภาพคล่องสูง ถ้าไม่มั่นใจว่าเทรดคริปโต ที่ไหนดี ก็แนะนำให้เลือกเว็บที่ได้รับรองจาก ก.ล.ต. ไว้ก่อนปลอดภัยกว่า นอกจากนี้หน้าตาและฟังก์ชันต่างๆ ก็ควรจะเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน เพื่อให้ทำธุรกรรมได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และค่าธรรมเนียมต้องไม่แพงด้วย


คำถามที่ถามบ่อย FAQ

ถาม : เว็บเทรดคริปโตอันดับ 1 คือ ?

ตอบ : Binance ถือเป็นเว็บเทรดคริปโตอันดับ 1 ของโลกที่มีคนใช้บริการเป็นจำนวนมาก ปริมาณการซื้อขายต่อวันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนของไทย Bitkub ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีคนใช้บริการมากที่สุด

ถาม : เว็บเทรดคริปโตไทยดีกว่าเว็บเทรดคริปโตต่างประเทศอย่างไร ?

ตอบ : เว็บเทรดคริปโตไทย สะดวกสำหรับนักลงทุนทั้งมือใหม่และมืออาชีพ เพราะสามารถฝาก-ถอนด้วยเงินบาทได้เลย ไม่ต้องแปลงสกุลเงินให้ยุ่งยากเสียเวลา อีกทั้งปัจจุบันเว็บเทรดของไทยก็พัฒนาระบบและฟังก์ชันต่างๆ ให้สะดวก ลื่นไหล และใช้งานได้ดีไม่แพ้เว็บนอกเลย

ถาม : มือใหม่เทรดคริปโต ที่ไหนดี ?

ตอบ : ทั้ง Bitkub, InnovestX, Satang Pro และ Bitazza ล้วนเหมาะสำหรับมือใหม่ เพราะได้การรับรองจาก ก.ล.ต. มีสภาพคล่องสูง ฟังก์ชันการใช้งานง่าย ค่าธรรมเนียมถูก ยอดฝาก-ถอน-ซื้อ-ขายต่ำ มีคู่มือและคำแนะนำภาษาไทย พร้อมทีมงานคอยซัพพอร์ตตลอด 24 ชั่วโมง และยังมีคลังความรู้มากมายให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วย

ถาม : เทรดคริปโตเริ่มยังไง ?

ตอบ : การเทรดคริปโตคือการลงทุนที่มีความเสี่ยง เพราะนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ จากนั้นสามารถเริ่มเทรดได้โดยการเลือกแพลตฟอร์มที่ต้องการ ลงทะเบียนสมัครใช้งาน ฝากเงินเข้าระบบ และเริ่มเทรดได้เลย

ถาม : ป้องกันเว็บเทรดคริปโตปลอมได้อย่างไร ?

ตอบ : เว็บเทรดคริปโตปลอมถูกสร้างขึ้นโดยมิจฉาชีพ ซึ่งสามารถดูดเงินไปอย่างง่ายดายในเวลาอันรวดเร็ว หน้าตาบางเว็บเหมือนเว็บจริงเลยก็มี เพราะฉะนั้นจึงควรเข้าเว็บหรือแอปพลิเคชันเองโดยตรง ไม่คลิกลิ้งที่ถูกส่งมา และเลือกใช้เว็บเทรดที่ ก.ล.ต. รับรองเพื่อความปลอดภัย อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้าที่มาตีสนิทและชวนให้ลงทุน

Hardware wallet เก็บบิทคอยน์

บทความที่เกี่ยวข้อง

ขุดบิทคอยน์ คืออะไร ? คุ้มค่าไหมที่จะลงมือขุดเอง ?

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!

คนรวยด้วยบิทคอยน์ มีสักกี่คน? มือใหม่อยากรวย ตามมาดูกัน


A side profile of a woman in a russet-colored turtleneck and white bag. She looks up with her eyes closed.

“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team

ทำความรู้จัก TradingView คือ อะไร ทำไมนักลงทุนทั่วโลกต้องมี !

ในช่วงหลายปีมานี้ ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หันมาลงทุนในบิทคอยน์ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิตอลอื่นๆ อีกทั้งบิทคอยน์ยังได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงิน และภาคธุรกิจหลายแห่ง ทำให้กระแสความนิยมดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเสมอ ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนควรจะต้องมีติดตัวไว้เหมือนอาวุธคู่กายก็คือ เครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์

บทความนี้จะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักว่า TradingView คืออะไร และเทคโนโลยีสุดอัจฉริยะนี้จะมีบทบาทที่ช่วยในการลงทุนอย่างไรบ้าง

TradingView คือ อะไร ?

TradingView คือ แพลตฟอร์มแสดงกราฟราคาสินทรัพย์ทั่วโลกแบบเรียลไทม์ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่บิทคอยน์เท่านั้น แต่ยังสามารถเรียกดูข้อมูลหุ้น คริปโต ฟอเร็กซ์ ทองคำ น้ำมัน ค่าเงินตราระหว่างประเทศ สกุลเงินดิจิทัล ฯลฯ เลือกใช้งานได้ทั้งบนเว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน โดยสามารถแสดงกราฟได้ถึง 15 รูปแบบ รวมทั้งแบบยอดนิยมอย่างกราฟเส้น กราฟแท่ง หรือแท่งเทียน และยังสามารถเลือกกรอบเวลา (Timeframe) ได้หลากหลาย จึงเหมาะสำหรับการลงทุนทุกรูปแบบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

มาพร้อมฟีเจอร์สุดอัจฉริยะมากมาย ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น ตัวชี้วัด (Indicator) RSI, MACD, EMA, Squeeze Momentum เครื่องมือวาดกราฟ ลากเส้น ตีเทรนด์ไลน์ เรียกดูข้อมูลทางการเงิน งบดุล กำไร ขาดทุน หนี้สิน เงินปันผล วิเคราะห์มูลค่า จำลองการซื้อขายจริง รวมถึงการแจ้งเตือนเพื่อไม่ให้พลาดทุกโอกาสในการลงทุน

อีกหนึ่งเครื่องมือที่โดดเด่นมากก็คือ “Pine Script” ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย TradingView เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างตัวชี้วัด หรือเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคในแบบฉบับของตัวเอง และยังสามารถแชร์ให้ผู้อื่นใช้งานได้อีกด้วย ซึ่งเขาก็ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย แม้ผู้เริ่มต้นหรือไม่มีทักษะในการเขียนโค้ดมาก่อน ก็สามารถฝึกเขียนได้ไม่ยาก

นอกจากนี้จุดเด่นอีกหนึ่งอย่างที่แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นก็คือ ชุมชน หรือ Community ซึ่งผู้ใช้งานทุกคนสามารถสร้างโพสต์ และคอมเมนต์แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักลงทุนจากทั่วโลกได้ อีกทั้งยังสามารถสตรีมสดการซื้อขายของตัวเอง หรือรับชมการสตรีมสดของเทรดเดอร์คนอื่นๆ ได้ด้วย

วิธีใช้งาน TradingView คือ

tradingview ฟรี 30 วัน

TradingView สามารถใช้งานได้ฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงแต่ฟังก์ชันการใช้งานอาจถูกจำกัดแค่บางส่วน แต่ก็ยังถือว่าเยอะมากสำหรับการใช้งานฟรี หากใครลองใช้งานแล้วชอบก็สามารถสมัครแบบ Pro, Pro+ หรือ Premium ได้

  • การใช้งานผ่านเว็บไซต์
  • เข้าไปที่  https://th.tradingview.com/
  • ลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่ระบบ
  • สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานภาษาไทย ให้กดที่รูปโปรไฟล์ เลื่อนลงมาที่ Language และเลือกเป็นภาษาไทย
  • กดที่ Market หรือตลาด จะมีประเภทของสินทรัพย์ให้เลือก หรือใส่ชื่อสินทรัพย์ที่ต้องการในช่องค้นหาได้เลย ระบบจะแสดงกราฟราคา รวมถึงข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ให้
  • กดไปที่ See on Supercharts จะมีเครื่องมือมากมาย ให้ปรับแต่ง เช่น เครื่องมือวาดเส้น ใส่ตัวหนังสือ สติกเกอร์ รวมถึงตัวชี้วัดต่างๆ
  • การใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน
  • ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน TradingView ได้ทั้งระบบ iOS และ Android
  • ลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่ระบบ
  • สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานภาษาไทย ให้กดที่ Menu > Setting > Language และเลือกเป็นภาษาไทย
  • ในแอปพลิเคชัน จะปรากฏตัวเลือกต่างๆ เช่นเดียวกับบนเว็บไซต์ ให้กดเข้าไปที่ชาร์ต จากนั้นสามารถปรับแต่ง หรือเลือกใช้เครื่องมือต่างๆ ได้เลย

ทำไมนักลงทุนควรใช้ TradingView

  • รูปแบบการใช้งานง่าย

TradingView คือแพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบมาให้ดูเรียบง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน เข้าถึงได้หลายอุปกรณ์ และข้อมูลทั้งหมดจะเชื่อมโยงถึงกัน มีภาษาให้เลือกหลากหลาย รวมถึงภาษาไทย อีกทั้งยังสามารถบันทึกการตั้งค่า หรือบันทึกรูปแบบไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้ด้วย

  • ทันทุกสถานการณ์แบบเรียลไทม์

นักลงทุนสามารถเรียกดูกราฟราคาได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงอัปเดตข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้แบบครบถ้วนในที่เดียว เช่น ปฏิทินเศรษฐกิจ รายงานผลประกอบการ การคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ ข่าวที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ดีขึ้น

  • เครื่องมือหลากหลายและครบครัน

TradingView มีชุดเครื่องมือให้เลือกใช้งานเยอะมาก ทั้งเครื่องมือที่เหมาะสำหรับนักลงทุนสายเทคนิค และนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงเครื่องมือขั้นสูงอย่าง Pine Script อีกทั้งยังมีช่องให้กรอกค้นหาเครื่องมือที่ต้องการได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาหา

  • มีตัวช่วยแจ้งเตือน

ระบบแจ้งเตือนทำให้ไม่พลาดโอกาสในการลงทุน ในขณะเดียวกันก็มีเวลาว่างไปทำกิจกรรมอย่างอื่น ไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ โดยสามารถกดตั้งค่าได้ตามต้องการ เช่น ให้แจ้งเตือนเมื่อราคาลงหรือขึ้นไปถึงจำนวนที่ต้องการ เป็นต้น

  • ชุมชนออนไลน์

Community หรือชุมชน ทำให้เราสามารถพบปะพูดคุยกับนักลงทุนจากทั่วโลก ซึ่งนอกจากจะได้แลกเปลี่ยนไอเดีย หรือมุมมองต่างๆ แล้ว ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีสำหรับมือใหม่ ที่จะได้ศึกษาแนวทาง หรือกลยุทธ์ของนักลงทุนที่มีประสบการณ์ เพื่อนำมาปรับใช้กับการลงทุนของตัวเอง

TradingView คือแพลตฟอร์มช่วยวิเคราะห์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ สามารถเรียกดูกราฟและข้อมูลสินทรัพย์ได้แทบทุกประเภท โดดเด่นด้วยเครื่องมือและฟีเจอร์ที่หลากหลาย แต่ใช้งานง่าย รวมถึงชุมชนออนไลน์ ที่ถือเป็นศูนย์รวมเหล่านักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ TradingView เป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์นักลงทุนทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจให้แม่นยำและเฉียบขาดมากยิ่งขึ้น

tradingview กราฟเรียลไทม์

TradingView Pro ดียังไง และ Tradingview ราคา เท่าไหร่

Tradingview Pro เป็นบริการการใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์สำหรับมืออาชีพเป็นแบบเสียเงิน  รายเดือนหรือรายปี

สำหรับ แบบ Tradingview Pro ราคาค่าใช้จ่ายนั้น ทาง Tradingview ยังมีการลดราคา หรือโปรโมชั่นเป็นช่วง ๆ ให้ใช้งาน แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถจ่ายโดยใช้ USD โดยจะมี 3 Package ดังต่อไปนี้

คุณสมบัติเด่นของการที่สมัคร Tradingview Pro คือ สามารถเพิ่ม Indicator เข้าไปในกราฟได้มากขึ้น มีกราฟมากขึ้น สามารถตั้งเตือนได้ และ มีรูปแบบการวิเคราะห์เชิงลึกมากกว่าแบบฟรี

สอนใช้ TradingViewตัวฟรี!! จัดเต็ม ครบทุกฟังก์ชั่น


tradingview เครื่องมือเทรด

บทความที่เกี่ยวข้อง

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!

คนรวยด้วยบิทคอยน์ มีสักกี่คน? มือใหม่อยากรวย ตามมาดูกัน


A side profile of a woman in a russet-colored turtleneck and white bag. She looks up with her eyes closed.

“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team

6 ปัจจัยที่ทำให้ ราคาบิทคอยน์ เกิดความผันผวน

บิทคอยน์เริ่มเปิดตัวครั้งแรกในปี 2009 ในขณะนั้น ราคาบิทคอยน์ มีมูลค่าเพียงแค่ไม่กี่ร้อยดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำนวนบิทคอยน์ที่มีอย่างจำกัด รวมถึงการเก็งกำไรจากนักลงทุน ทำให้ในช่วงหลายปีหลังมานี้ราคาบิทคอยน์เกิดความผันผวนสูงมาก จนปรับตัวขึ้นไปแตะจุดสูงสุดอยู่ที่ 68,789 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 ทำให้เกิดกระแสความนิยมไปทั่วโลก ดึงดูดให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจ และลงทุนในบิทคอยน์  อย่างไรก็ตามในเวลาเพียงแค่ไม่นาน ราคาบิทคอยน์ก็ปรับลดลงอย่างรวดเร็ว จนถึงจุดต่ำสุดที่ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่าอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุให้ราคาบิทคอยน์เกิดความผันผวนมากขนาดนี้ บทความนี้จะมาเฉลยคำตอบให้ฟัง

ราคาบิทคอยน์วันนี้

ราคาบิทคอยน์ ปัจจุบัน 2023

9 กันยายน 2566 ข้อมูลจากเว็บ Coinmarketcap.com )


ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ ราคาบิทคอยน์

อุปสงค์และอุปทาน

บิทคอยน์ก็เช่นเดียวกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์และอุปทาน สินค้าที่มีความ Limited Edition ย่อมเป็นที่ต้องการมาก ทำให้มูลค่าสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นหากมีคนแห่เข้าไปซื้อพร้อมกันเยอะๆ ก็จะดันราคาให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันหากคนออกมาเทขาย ก็จะทำให้ราคาบิทคอยน์ร่วงลงทันที ซึ่งความผันผวนนี้ก็ดึงดูดให้นักลงทุนหันมาเก็งกำไรในบิทคอยน์กันเป็นจำนวนมาก

หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมถึงไม่มีการสร้างบิทคอยน์เพิ่ม นั่นก็เพราะบิทคอยน์ถูกออกแบบมาให้จำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อกับบิทคอยน์ และการขุดบิทคอยน์ก็จะใช้เวลานานขึ้นจากภาวะ Bitcoin Halving ที่จะมีการปรับลดปริมาณเหรียญที่ขุดได้ลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 4 ปี ทำให้มูลค่าของบิทคอยน์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต

ภาวะเงินเฟ้อ

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจทั่วโลกแทบจะหยุดชะงัก ธนาคารกลางจึงออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่นั่นก็ทำให้เกิดการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ รวมถึงพิมพ์แบงก์เพิ่มอย่างมหาศาล จนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมา และดูท่าว่าปัญหานี้จะไม่จบลงง่ายๆ ด้วย เมื่อมูลค่าของเงินมีแนวโน้มจะลดลง คนจึงหันมาให้ความสนใจกับสินทรัพย์ที่มีจำกัดอย่างบิทคอยน์ ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีแค่ 21 ล้านเหรียญ และจะไม่มีการผลิตเพิ่มอีก

การยอมรับอย่างกว้างขวาง

ปัจจุบันบิทคอยน์กลายเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงิน รวมถึงบริษัทชั้นนำต่างๆ สามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการได้หลากหลาย ตั้งแต่สินค้าทั่วไป เครื่องประดับ รองเท้า ตั๋วหนัง คอมพิวเตอร์ ไปจนถึงสินค้าที่มีมูลค่าสูงอย่างรถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่จ่ายค่าเล่าเรียน เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น ราคาบิทคอยน์ก็สูงขึ้นตามไปด้วย แต่หากเกิดการแบนบิทคอยน์ขึ้นมา ก็ย่อมทำให้มูลค่าลดลง

กฎหมายควบคุม

แม้ว่าบิทคอยน์จะได้รับการยอมรับจากหลายหน่วยงาน แต่มุมมองและท่าทีของแต่ละประเทศที่มีต่อบิทคอยน์ก็แตกต่างกัน บางประเทศเปิดกว้าง ให้การสนับสนุน ทำให้จำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น นักลงทุนสนใจมากขึ้น บางประเทศปิดกั้น ออกกฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวด ก็เท่ากับว่าจำนวนผู้ใช้งานจะลดลง ซึ่งหากเป็นประเทศที่มีประชากรมาก ก็จะส่งผลกระทบมากเช่นกัน ในขณะที่ประเทศไทย แม้จะไม่ได้ปิดกั้น แต่บิทคอยน์ก็ยังไม่ถูกยอมรับจากธนาคารแห่งประเทศไทย ให้สามารถนำมาซื้อขายสินค้าและบริการได้ อีกทั้งกฎหมายเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลก็ยังมีความคลุมเครืออยู่

การแข่งขันในกลุ่มคริปโตเคอเรนซี่

บิทคอยน์ถือเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีเหรียญอื่นๆ อีกเป็นร้อยในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ แถมยังมีเหรียญใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอด ทำให้เกิดการแข่งขันพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความปลอดภัย รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือ และการยอมรับจากสถาบัน นักลงทุน หรือผู้ใช้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่สามารถการันตีความนิยมของบิทคอยน์ในอนาคตได้

ข่าวสาร

จากปัจจัยข้างต้นจะเห็นว่า ราคาบิทคอยน์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ดังนั้นจึงมีความอ่อนไหวค่อนข้างสูง เมื่อมีข่าวที่ส่งผลกระทบ เช่น การปรับขึ้น-ลดอัตราดอกเบี้ย การออกกฎหมายควบคุมบิทคอยน์ ย่อมทำให้ราคาบิทคอยน์เกิดความผันผวนได้ตลอดเวลา

หากเปรียบเทียบง่ายๆ บิทคอยน์ก็เหมือนสินค้าชนิดหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนจำกัด ต้องใช้พลังงานสูงมากในการผลิต และปริมาณการผลิตก็ยังลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 4 ปี ด้วย แต่แทนที่ของหายากจะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ กลับต้องเจอกับความผันผวนของราคา เนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ภาวะเศรษฐกิจ กระแสข่าว ความนิยม การยอมรับ หรือการแข่งขันกันเอง นั่นจึงทำบิทคอยน์ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนจึงต้องศึกษาทำความเข้าใจ และคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด  


คำถามเกี่ยวกับ ราคาบิทคอยน์

1 บิทคอยน์ เท่ากับกี่บาทไทย

1 บิทคอยน์ เท่ากับ 916,700 บาท ข้อมูลจากเว็บ Bitkub.com

ราคาบิทคอยน์วันนี้ กี่ดอลลาร์

1 บิทคอยน์ เท่ากับ 25,806 ดอลลาร์ ข้อมูลจากเว็บ Coinmarketcap.com

ราคาบิทคอยน์เรียลไทม์ ดูได้จากที่ไหนได้บ้าง

สามารถดูได้ที่ เว็บ Bitkub.com , Coinmarketcap.com


Hardware wallet เก็บบิทคอยน์

บทความที่เกี่ยวข้อง กับ ราคาบิทคอยน์

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!

คนรวยด้วยบิทคอยน์ มีสักกี่คน? มือใหม่อยากรวย ตามมาดูกัน


A side profile of a woman in a russet-colored turtleneck and white bag. She looks up with her eyes closed.

“การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้นั้นมีความเสี่ยงมากที่สุด ก่อนลงทุนใน บิทคอยน์ Bitcoin, Altcoin หรือ เหรียญตัวไหน ควรศึกษาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง สุดท้ายนี้ พวกเรา GoalBitcoin ขอให้ทุกคนโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่ง มีความสุขกับการลงทุนใน Cryptocurrency นี้ ด้วยกันทุกคน”

— GoalBitcoin Team

ทำความรู้จักกับ Satoshi ซาโตชิ หน่วยย่อยของ บิทคอยน์

มือใหม่หลายท่าน อาจสงสัยว่า เหรียญบิทคอยน์หน่วยย่อยของมันเรียกว่ายังไง คำตอบคือ หน่วยของบิทคอยน์ เราจะเรียกว่า Satoshi ซาโตชิ (ชื่อแฝงของผู้คิดค้นนั้นเอง) โดยก่อนที่เราจะเรียก 1 บิทคอยน์ หรือ 1 BTC ที่มีค่าเท่ากับ 1,038,600 บาทในปัจจุบัน (20 มกราคม 2564 ข้อมูลจากเว็บ Bitkub.com ) นี้ เราต้องเข้าใจการอ่านค่าต่างๆ ของ Satoshi ซาโตชิ ซึ่งแบ่งเป็นหน่วยย่อยออกมาได้ ดังนี้

1 Satoshi                    =  0.00000001 BTC

10 Satoshi                  =  0.00000010 BTC

100 Satoshi                =  0.00000100 BTC

1,000 Satoshi             =  0.00001000 BTC

10,000 Satoshi           =  0.00010000 BTC

100,000 Satoshi         =  0.00100000 BTC

1,000,000 Satoshi       =  0.01000000 BTC

10,000,000 Satoshi     =  0.10000000 BTC

100,000,000 Satoshi    =  1.00000000 BTC

ถ้าเทียบ 1 บิทคอยน์ หรือ 1 BTC ที่มีค่าเท่ากับ 1,038,600 บาทในปัจจุบัน ขอบอกเลยว่า ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจนะ (แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป)

100,000,000 Satoshi                 =  1.00000000 BTC       จะเท่ากับ 1,038,600 บาท

 10,000,000 Satoshi                =  0.10000000 BTC       จะเท่ากับ 103,860 บาท

   1,000,000 Satoshi               =  0.01000000 BTC       จะเท่ากับ 10,386 บาท

       100,000 Satoshi                 =  0.00100000 BTC       จะเท่ากับ  1,038.60 บาท

         10,000 Satoshi               =  0.00010000 BTC       จะเท่ากับ  103.86 บาท

มองภาพกันง่ายๆ ถ้าคุณมีเหรียญบิทคอยน์จำนวนขนาดนี้ จะสามารถทำเงินได้มหาศาลแบบนี้

1 BTC   จะเท่ากับ 1,038,600 บาท

10 BTC   จะเท่ากับ 10,386,000 บาท

20 BTC   จะเท่ากับ 103,860,000 บาท

 (คิดตามอัตราเรทปัจจุบัน 20 มกราคม 2564 1 BTC = 1,038,600 บาท ข้อมูลจากเว็บ Bitkub.com )

เห็นแบบนี้แล้วรีบสะสม Satoshi ซาโตซิ ให้ได้ซัก  1 บิทคอยน์ ก็พอจะคุ้มค่าเกินบรรยายละ เผื่อจะได้มีเงินเก็บหลักล้านกับเค้าซะที มัน Wow!! ขนาดนี้ ต้องรีบศึกษาแล้วไปปั่นยอดบิทคอยน์กันเลยดีกว่า^^


คำถามที่พบบ่อย

ใครคือผู้สร้าง bitcoin

ผู้สร้าง bitcoin บิทคอยน์ ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ Satoshi Nakamoto ซึ่งเขาได้ร่วมมือกับนักพัฒนาเพื่อพัฒนาเครือข่าย Bitcoin ขึ้นมา ในปี 2009 อย่างไรก็ตาม ในปี 2011 Satoshi Nakamoto ก็หายตัวไป โดยทิ้งข้อความไว้ว่าเขาย้ายไปทำโปรเจกต์อื่นแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่า เขาเป็นใคร

ผู้ก่อตั้ง บิทคอยน์ bitcoin ซาโตชิ นากาโมโตะ สัญชาติอะไร

หากอ้างอิงจากข้อมูลในโปรไฟล์ของผู้ก่อตั้ง และนามแฝงที่ปรากฎออกมานั้น ทำให้เดากันว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ น่าจะเป็นชาวญี่ปุ่น ถึงอย่างนั้นใน Whitepaper ของบิทคอยน์ มีหลายคนให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับสัญชาติของ ซาโตชิ นากาโมโตะ ออกเป็นทั้งหมด 2 แนวคิดใหญ่ ก็คือ ซาโตชิ Satoshi เป็นคนสัญชาติญี่ปุ่น และอีกแนวคิดก็คือ สัญชาติอเมริกันหรือเป็นชาวยุโรป

ทำไม Satoshi Nakamoto จึงไม่เปิดเผยตัวตน

อาจเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย รวมถึงความเป็นส่วนตัว เนื่องจากว่า รัฐบาลและธนาคารแต่ละประเทศ อาจกดดันให้เขาออกข้อบังคับบางอย่างในการทำธุรกรรม และอาจจะถูกบังคับให้ทำตามเงื่อนไข ทำให้เป็นปัญหากับระบบ รวมถึงผู้ใช้ในเครือข่ายจะรู้สึกไม่ปลอดภัยหากกฏระเบียบออกโดยบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น


บทความที่เกี่ยวข้อง

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้

6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง!

คนรวยด้วยบิทคอยน์ มีสักกี่คน? มือใหม่อยากรวย ตามมาดูกัน

3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีการซื้อขายสูงสุดปี 2020

ใครที่อยากลองเทรดในตลาดต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง บทความนี้ เรามาดูกันว่า 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2020 มีเจ้าไหนบ้าง ไปดูกัน

อ่านต่อที่นี่

4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต ประจำปี 2563

วันนี้เราได้รวบรวม 4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต โดยเว็บเทรดทั้ง 4 นี้ สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามบทเฉพาะกาลตามคำสั่งของ ก.ล.ต. หรือ ได้รับ License แล้วนั่นเอง

อ่านต่อที่นี่