Category: ซื้อ ขาย Bitcoin

ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับมือใหม่ ซื้อ ขาย Bitcoin

ปัจจุบัน สกุลเงินดิจิตอล กำลังมีบทบาทอย่างมากในโลกออนไลน์ ซึ่งเราสามารถใช้ช่องทางการลงทุนในตลาดใหม่นี้ สร้างโอกาสผลกำไรจากการลงทุนในตลาดเงินดิจิตอลนี้ได้ในอนาคต

เราจะพาคุณไป รีวิวแหล่งซื้อขาย Bitcoin ในไทย ที่มือใหม่ สามารถเป็นสมาชิกได้เลยทันทีค่ะ จากการที่ได้ลงทุนในบิทคอยน์ มาระยะหนึ่งแล้ว จึงอยากนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มาถ่ายทอดให้นักลงทุนมือใหม่ ที่กำลังจะเข้ามาในวงการ Crypto Currency นี้ได้รู้จัก แหล่งซื้อขาย บิทคอยน์ เพื่อง่ายในการตัดสินใจ ซื้อขาย Bitcoin

เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

ถ้าจะพูดถึงเรื่องราว ข่าวบิทคอยน์ หลายๆคนคงนึกถึงจุดเริ่มต้นของบิทคอยน์ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนสร้าง แต่ในวงการนี้ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่มีทั้งคนรู้และไม่รู้มาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่เกิดความฮือฮามาแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งบิทคอยน์เริ่มเป็นกระแสสังคมมาเรื่อยๆ ดังนั้น เราจะมาทำความรู้จักกับเรื่องราวในแวดวงบิทคอยน์กันสักหน่อย กับ เรื่องเล่าในวงการบิทคอยน์ ที่โด่งดังไปทั่วโลก

มาเริ่มกันที่ เรื่องแรก…… ซาโตชิ บิดาแห่งบิทคอยน์

เรื่องนี้ในวงการบิทคอยน์คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินใช่ไหม แต่เราอยากจะตอกย้ำให้จดจำกันอีกสักครั้ง กับจุดเริ่มต้นของคนที่ทำให้มีบิทคอยน์ขึ้นมา เขาคือ Satoshi Nakamoto (นามแฝง) หรือบิดาแห่ง บิทคอยน์ ซึ่งเขาได้เป็นคนบุกเบิกสกุลเงินดิจิตอลสู่ชาวโลกครั้งแรก ผ่านเว็บไซต์ bitcoin.org และ metzdowd โดยยึดหลักการที่ว่า ไม่ต้องการให้ค่าเงินถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือสถาบันการเงินใดๆ

Satoshi เริ่มเขียนโค๊ดพัฒนาบิทคอยน์ตั้งแต่ปี 2007, นำเสนอ whitepaper ปี 2008 และคลอด Bitcoin version 0.1 ในปี 2009 และยังคงพัฒนาซอฟแวร์อย่างต่อเนื่องมาจนถึงช่วงปี 2010 จนระบบถูกวางเสร็จสมบูรณ์ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจากวงการบิทคอยน์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก่อนที่จะส่งต่อข้อมูลทั้งหมดให้ Gavin Andresen (ซึ่งดำรงตำแหน่ง Bitcoin core development lead และ Bitcoin foundation จนถึงปี 2016) บัญชีของ Satoshi ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีบิทคอยน์ครอบครองมากที่สุดในโลกถึง 1ล้าน BTC กระจายอยู่พันกว่าบัญชี รวมมูลค่าทรัพย์สินของเขาใน cryptocurrency ถึง 36,181 ล้านเหรียญสหรัฐ (ว้าว!!) (อ้างอิงตามราคา ฺBitcoin ที่ https://coinmarketcap.com/  1 BTC = 36,181 USD )    เรียกได้ว่า เขานี่แหละ คือเจ้าพ่อที่ทำให้บิทคอยน์ มีชื่อเรียกเป็นหน่วยซาโตชินั่นเอง

มาต่อกันกับเรื่องที่ 2 ฮือฮาสุด ซื้อพิซซ่า 2 ถาดได้ด้วย บิทคอยน์

เรื่องนี้ไม่พูดไม่ได้แล้ว เพราะเสมือนเป็นเรื่องหลักๆ ที่วงการบิทคอยน์จดจำ และกลายเป็นตำนาน ถึงขนาดปัจจุบัน มีวัน “Bitcoin Pizza Day” ซึ่งเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2010 เมื่อผู้ใช้งาน Bitcoin รายหนึ่ง ชื่อว่า Laszlo Hanyecz ได้ใช้บิทคอยน์จำนวน 10,000 BTC ไปแลกกับพิซซ่าจำนวน 2 ถาด จนกลายเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ครั้งแรกของโลก ที่ไม่ต้องใช้เงินสดซื้อพิซซ่า โดยตอนนั้น Bitcoin มีราคาอยู่เพียง 0.004 ดอลลาร์ ทำให้พิซซ่ามีมูลค่าที่ 41 ดอลลาร์ ซึ่งถ้าเทียบกับมูลค่า BTC ในปัจจุบัน จะทำให้พิซซ่าสองถาดนี้ กลายเป็นพิซซ่าที่แพงที่สุดในโลก เขายังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า  ได้ขอซื้อพิซซ่าผ่านการโพสต์ลงเว็บบอร์ด Bitcointalk  โดยแจ้งในบอร์ดว่า “คุณจะทำพิซซ่ามาและนำมาส่งที่บ้านผมเองก็ได้นะ หรือจะสั่งให้ผมแล้วผมไปรับก็ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมต้องการจะใช้ คือ Bitcoin แลกกับอาหารโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องทำเอง คล้าย ๆ การสั่งอาหาร Delivery ที่โรงแรม ที่เขามาอาหารมาเสริฟ์ในห้อง และคุณกินมันอย่างมีความสุข” หลังจากนั้นสองวัน เขาก็โพสต์ภาพพิซซ่าสองถาด ที่ได้รับพิซซ่าจากร้าน Papa John โดยมีคนสั่งซื้อมาส่งให้เขาถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว

ครอบครัว Laszlo Hanyecz ผู้ใช้ บิทคอยน์ 10,000 BTC แลกกับ พิซซ่า 2 ถาด

          แถมจุดประสงค์ของเค้าที่ต้องการซื้อ 2 ถาด เพราะเขาอยากเหลือไว้กินในวันถัดไปอีกด้วย เรียกได้ว่าเรื่องนี้แหละ คือ เรื่องที่ทำให้บิทคอยน์กลายเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ดูมีมูลค่าขึ้นมาทันที จนมีคนสนใจที่จะหามันมาครอบครองเพื่อซื้อขายออนไลน์กันโดยเฉพาะ

เรื่องที่ 3 : วิกฤติ MtGox และ Coincheck เว็บเทรดเจ้าใหญ่ ถูกแฮก สะเทือนวงการ “เงินดิจิตอล”

ช่วงปี 2014 เกิดเหตุการณ์สะเทือนวงการผู้ใช้สกุลเงินดิจิตอล “บิทคอยน์” เมื่อเว็บเทรด “MtGox” ซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อขาย บิทคอยน์ รายใหญ่ที่สุดของโลกได้ยื่นเอกสารต่อศาลในกรุงโตเกียวเพื่อขอล้มละลายและพิทักษ์ทรัพย์ หลังจากถูกแฮคเกอร์โจรกรรม บิทคอยน์ จำนวน 750,000 เหรียญ พร้อมกับ บิทคอยน์ ของบริษัทราว 100,000 เหรียญ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.56 หมื่นล้านบาท) โดย คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน CoinDesk ในวันดังกล่าว วิกฤติการณ์ครั้งนั้นถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผู้ถือครองสกุลเงิน บิทคอยน์ หวั่นวิตกกับอนาคตของสกุลเงินดังกล่าว หลังจากที่ บิทคอยน์ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

มูลค่าความเสียหาย ของเว็บเทรดที่ถูกแฮก

Mt Gox เว็บเทรดเจ้าใหญ่ในตำนานสัญชาติญี่ปุ่นที่ถูกแฮกไปในปี 2014 ทำให้ตลาดคริปโตกลายร่างเป็นขาลงยาวนานถึงสองปี โดยมีแผนจะชดเชยบิทคอยน์จำนวน 140,000 BTC ให้แก่นักลงทุนในวันที่ 15 ตุลาคม 2020 หลังถูกเลื่อนมาแล้วถึงสี่รอบ หลังจากนั้น ปี 2018 บริษัท Coincheck ซึ่งเป็นบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ถูกแฮกเกอร์มือดีเข้ามาเจาะระบบคอมพิวเตอร์ โจรกรรมเงินดิจิทัลไปได้มหาศาลถึง 5,800 ล้านเยน หรือราว 534 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 16,700 ล้านบาท) จนถือเป็นการขโมยเงินดิจิทัลครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ทำลายสถิติของ บริษัท MtGOX

เรื่องที่ 4 : ปล้นบิทคอยน์ โดยไวรัส Wannacry

อะไรที่เป็นกระแส และได้เงินจริง มักจะมีผู้ไม่หวังดี ทำตัวเป็นโจรคอมพิวเตอร์ หาเรื่องเรียกค่าไถ่ คุกคามผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทันที อย่าง ไวรัส Wannacry  ที่เคยระบาดหนักอยู่ช่วงปี 2017 โดยไวรัสตัวนี้ จะเป็น หนึ่งใน ransomware ที่ทำการเข้าควบคุมคอมพิวเตอร์เหยื่อ โดยทำการล็อคข้อมูลทั้งหมด และเรียกค่าไถ่เป็น Bitcoin เป็นจำนวนเงินไทยกว่า 100,000 บาท เพื่อแลกกับการปลดล็อคคอมพิวเตอร์ โอ้วโหว ที่มันเป็นการเรียกค่าไถ่รูปแบบใหม่ชัดๆ ซึ่งเท่ากับว่า เงินจำนวนกว่า 4 ล้านบาท สูญไปกับกลุ่ม Hacker ไปเลย

เมื่อคอมพิวเตอร์ติดไวรัส WannaCry จะมีหน้าตาตามรูปนี้

          บริษัทและผู้คนบนโลกกว่า 150 ประเทศ ต้องปั่นป่วน เพราะคอมพิวเตอร์จำนวนกว่า 230,000 เครื่องถูกไวรัสนี้เข้าควบคุม แม้แต่โรงพยาบาลยังถูกล็อคข้อมูลเข้าถึงผู้ป่วย หรือบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคม อย่าง FedEx ในสเปนยังได้รับผลกระทบไปด้วย ผลกระทบของการโจรกรรมในครั้งนั้น ได้ถูกเชื่อมโยงไปยังกลุ่ม Hacker ในเกาหลีเหนือ  นามว่า The Lazarus Group โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยต่างระบุว่า Wannacry เป็นไวรัสที่โจมตีบริษัทดัง และธนาคารในประเทศต่างๆ จนเกิดความเสียหายอีกด้วย อีกทั้งบิทคอยน์ที่ถูกโจรกรรมไป บางส่วนก็ถูกนำไปซื้อของในตลาดมืดอีกด้วย   นับว่าเป็นการกระทำที่ทำให้นักลงทุนบิทคอนย์เฟลไปตามๆกัน แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน เว็บไซต์สำหรับใช้งานบิทคอยน์ต่างๆ มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก

เรื่องที่ 5 : โปรแกรมเมอร์ บุญมี แต่กรรมบัง!!!

เจมส์ โฮเวลส์ ทิ้งฮาร์ดไดร์ฟที่เขาลืมไปว่ามีบิทคอยน์ จำนวน 7,500 เหรียญ บันทึกอยู่ ลงถังขยะเมื่อ 8 ปีที่แล้ว นายโฮเวลส์ ซื้อบิทคอยน์มาในราคาถูกมากเมื่อปี 2009 แต่เขาถอดฮาร์ดไดร์ฟที่ใช้บันทึกบิทคอยน์เหล่านั้นออก หลังจากทำเครื่องดื่มหกใส่คอมพิวเตอร์ และเก็บฮาร์ดไดร์ฟไว้ในลิ้นชักจนกระทั่งลืมว่ามีบิทคอยน์บันทึกไว้อยู่ ต่อมาเขาได้โยนฮาร์ทไดร์ฟทิ้งไปในปี 2013 ขณะนี้เขากำลังร้องขอให้เทศบาลเมืองนิวพอร์ต ทางตอนใต้ของเวลส์ ช่วยขุดฮาร์ดไดร์ฟดังกล่าวที่เชื่อว่าอยู่ในที่ฝังกลบขยะของเทศบาล โดยสัญญาว่าจะบริจาคส่วนแบ่ง 25% ตามมูลค่าของบิทคอยน์ให้กับเทศบาลเพื่อเป็นกองทุนต่อสู้กับโรคโควิด-19 ส่วนคนที่ สอง คือ สเตฟาน โทมัส โปรแกรมเมอร์ชาวเยอรมนีที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เพราะว่า เขาได้ทำรหัสผ่านที่จะล็อกอินเข้าบัญชีบิทคอยน์ของตัวเองหายไป” ซึ่งภายในบัญชีของเขานั้นมีบิทคอยน์อยู่ มากถึงกว่า 7,002 เหรียญ ซึ่งจากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น กลายเป็นบทเรียนราคาแพง ไม่เฉพาะของ “สเตฟาน โทมัส” คนเดียวเท่านั้น แต่เหมือนว่าจะเป็นปัญหาของคนที่ชอบลืมรหัสผ่านกำลังเกิดขึ้นกันหลายๆคน เพราะยังมีผู้ถือบัญชีบิทคอยน์ทั่วโลกที่ถือบิทคอยน์จำนวนมากไว้ในมือ แต่ไม่สามารถขายได้เพราะลืมรหัสผ่านที่ตัวเองตั้งไว้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทำความรู้จักกับ Satoshi ซาโตชิ หน่วยย่อยของ บิทคอยน์ blockchain คือ อะไร? ทำไมถึงเป็นเทคโนโลยีมาแรงสำหรับยุคนี้ 6 กลโกงการลงทุนบิทคอยน์ มือใหม่ทุกคนต้องระวัง! คนรวยด้วยบิทคอยน์ มีสักกี่คน? มือใหม่อยากรวย ตามมาดูกัน

3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีการซื้อขายสูงสุดปี 2020

ใครที่อยากลองเทรดในตลาดต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง บทความนี้ เรามาดูกันว่า 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2020 มีเจ้าไหนบ้าง ไปดูกัน

อ่านต่อที่นี่

4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต ประจำปี 2563

วันนี้เราได้รวบรวม 4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต โดยเว็บเทรดทั้ง 4 นี้ สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามบทเฉพาะกาลตามคำสั่งของ ก.ล.ต. หรือ ได้รับ License แล้วนั่นเอง

อ่านต่อที่นี่

3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีการซื้อขายสูงสุดปี 2020

หากคุณจะกำลังมองหาช่องทางการลงทุนบิทคอยน์ ไม่ว่าเป็นรูปแบบการลงทุนถือยาวหรือถือสั้น หรือ ใครที่อยากลองเทรดในตลาดต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง บทความนี้ เรามาดูกันว่า 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2020 มีเจ้าไหนบ้าง ไปดูกัน

 

1. Binance.com 

เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่มีปริมาณการซื้อขาย มาเป็นอันดับ 1 ปี 2020 ก็คือ Binance ก่อตั้งเมื่อปี 2017 มี CEO ชื่อ Changpeng Zhao มีจำนวนผู้ใช้งานมากจากทั่วโลก เป็นเว็บเทรดที่รองรับหลายสกุลเงิน ทั้งมีเหรียญคริปโตให้เทรดจำนวนมาก จำนวน 803 คู่ 238 เหรียญในกระดานเทรดและปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่  $6221,733,527

โดยเหรียญที่นิยมเทรดมากสุด 10 อันดับ ในเว็บ Binance.com ตามรูปด้านล่าง

สำหรับการเทรดบนกระดานเทรด Binance นั้นมีให้เลือกโหมดสำหรับตลาด Spot: Basic, Advanced และ Margin ส่วนตลาด Future ก็มีให้ Leverage สูงถึง 125x และยังมีให้เทรดแบบ Peer-to-Peer อีกด้วย

อัตราค่าธรรมเนียมของ Binance โดยรวมๆ แล้ว จะคิดค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 0.10 % แต่หากใครใช้โทเคนของ BNB จะมีส่วนลด 50%  Binance สามารถใช้งานได้ทั้งกับมือถือ Google, Android. iOS รวมถึง Desktop มีระบบซัพพอร์ตลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง

หาข้อมูลเพิ่มเติม Binance.com ได้ที่นี่


2. Huobi.com 

เป็นเว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดของจีน ที่มีปริมาณการซื้อขาย  มาเป็นอันดับ 2 ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $2,060,120,601  มีเหรียญดิจิตอลอื่นๆให้เทรดจำนวนมากกว่า 751 คู่ 284 เหรียญในกระดานเทรด  เว็บนี้ ได้รับความนิยมในการเทรด Margin อย่างมาก

หาข้อมูลเพิ่มเติม Huobi.com ได้ที่นี่


3. Coinbase.com

เป็นเว็บเทรดบิทคอยน์ จากสหรัฐอเมริกา ที่มีปริมาณการซื้อขาย  มาเป็นอันดับ 3   ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $350,584,348 มีเหรียญดิจิตอลอื่นๆให้เทรดจำนวนมากกว่า 93 คู่ 35 เหรียญในกระดานเทรด (แต่มีข้อจำกัด คือ ไม่อนุญาติบางประเทศในการเทรด รวมทั้งประเทศไทยด้วย)

หาข้อมูลเพิ่มเติม Coinbase Pro ได้ที่นี่


(สามารถเช็คปริมาณการซื้อขายต่อวันได้ที่ Coinmarketcap.com)


ตารางเปรียบเทียบ 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่มีการซื้อขายสูง 2020

เว็บเทรดบิทคอยน์

ข้อมูลเว็บไซต์ ข้อดี – ข้อเสีย ปริมาณการซื้อขาย

(Volume)

ค่า

ธรรมเนียม

Binance.com

เว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอลอันดับ 1  สัญชาติฮ่องกง ข้อดี

*ให้บริการครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นเทรด Spot, Margin , Future ,ปล่อยกู้, ซื้อขายแบบ Peer to peer

*ถือ NEOในเว็บ ได้ปันผล GAS

*มีเหรียญที่เป็นกระแสจำนวนมาก  803 คู่ 238 เหรียญ

*มีระบบซัพพอร์ตลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง

 

ข้อเสีย

*มีฟังก์ชั่นหลากหลายอาจทำให้มือใหม่สับสนได้

$6221,733,527 0.10%
 

Huobi Global

 

เว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล สัญชาติจีน ข้อดี

*มีเหรียญที่สามารถเทรดจำนวนมากกว่า 751 คู่ 284 เหรียญ

*รองรับภาษาจีน เกาหลี อังกฤษ

*รองรับเทรด Spot, Margin , Future

ข้อเสีย

*ไม่รองรับภาษาไทย

$ 2,060,120,601 0.20%
Coinbase Pro 

 

เว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล สัญชาติอเมริกัน ข้อดี

*มีเหรียญที่สามารถเทรดจำนวนมากกว่า 93 คู่ 35 เหรียญ

 

ข้อเสีย

*ไม่อนุญาติบางประเทศในการเทรด รวมทั้งประเทศไทย

$350,584,348 0.50%

 

4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต

นักลงทุนทุกคนควรศึกษาหาข้อมูลให้ดีก่อน และควรรู้ด้วยว่า ผู้ให้บริการ เว็บเทรดบิทคอยน์ ในไทย เจ้าไหนบ้าง ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์)

อ่านต่อได้ที่นี่

4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ถูกพูดถึงและได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง หลายคนรู้จักเงินดิจิทัล ในนาม บิทคอยน์ ซึ่งเป็นเหรียญหลักในสกุลเงินดิจิทัล  การเทรดบิทคอยน์ หรือ เหรียญดิจิทัลอื่นๆ ถือเป็นแหล่งลงทุนที่ทำกำไร หรือทำให้ขาดทุนของนักลงทุนหลายๆคน จนเกิดผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล ขึ้นมาหลายเจ้า แต่ก่อนที่จะเข้าไปลงทุน นักลงทุนทุกคนควรศึกษาหาข้อมูลให้ดีก่อน และควรรู้ด้วยว่า ผู้ให้บริการ เว็บเทรดบิทคอยน์ ในไทย เจ้าไหนบ้าง ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต  (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์)

วันนี้เราได้รวบรวม  4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต  โดยเว็บเทรดทั้ง 4 นี้ สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามบทเฉพาะกาลตามคำสั่งของ ก.ล.ต. และมีการประกาศออกใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ หรือ ได้รับ License แล้วนั่นเอง

เราจะเริ่มจากการแนะนำ เว็บเทรด Bitcoin เรียงลำดับตามความนิยมในตอนนี้กันค่ะ


  1. บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BITKUB) >>>เว็บไซต์ bitkub.com

บิทคับ เป็นเว็บเทรด Bitcoin สัญชาติไทยที่ก่อตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2561 โดยมีสำนักงานอยู่ในกรุงเทพ Bitkub อยู่ภายใต้การกำกับของก.ล.ต. แน่นอนว่าคุณสามารถเทรด บิทคอยน์ หรือ เหรียญดิจิตัลอื่นๆ ด้วยเงินบาท  บิทคับ ถือเป็น เว็บเทรดบิทคอยน์ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทยปี 2563 นี้


  2. บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ( Satang Pro)>>> เว็บไซต์ satang.pro

Satang Pro เป็นอีกเว็บเทรดบิทคอยน์สัญชาติไทยอีกเจ้าที่น่าเชื่อถือ ก่อตั้งโดยคุณปรมินทร์ อินโสมเมื่อปี 2560 ในชื่อ TDAX ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น SatangPro อยู่ภายใต้การกำกับของกลต. เช่นกัน


 3. ​บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด  >>>เว็บไซต์ zipmex.co.th

Zipmex เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. บริหารงานโดยคนรุ่นใหม่ไฟแรง โดย คุณเอกลาภ ยิ้มวิไล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ คุณพราว ลิ่มพงศ์พันธุ์


  4. บริษัท หั่วปี้ (ประเทศไทย) จำกัด​>>> เว็บไซต์  huobi.co.th

Huobi  ก่อตั้งปี 2561 เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.  เป็นพันธมิตรกับ บริษัท หั่วปี้ โกลบอล จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก


เว็บเทรดบิทคอยน์

ข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต 


ตารางสรุป  4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต

เว็บเทรดBitcoin

Volume ซื้อ ขาย จำนวนคู่เหรียญ

ค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขาย

1. Bitkub.com       $10,497,388 USD  33   

ร้อยละ 0.25

2. Satang.pro  $790,337 USD  25  

ร้อยละ 0.25

3. zipmex.co.th  ไม่มีข้อมูล  7  

ฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียม

4. huobi.co.th   ไม่มีข้อมูล  26  

ร้อยละ 0.25

สุดท้ายแล้ว  นักลงทุนจะซื้อจะขายเหรียญดิจิตัลที่เว็บเทรดเจ้าไหนก็ควรจะพิจารณากันให้ดี และควรศึกษาทำเข้าใจความเสี่ยงของตลาดคริปโตกันไว้ด้วย  ถึงแม้ว่าทั้ง 4 เว็บเทรดบิทคอยน์จะได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต ก็จริง แต่ก็ไม่ได้การันตีว่า จะไม่มีความเสี่ยงและความเสียหายเกิดขึ้นในอนาคตนะคะ เงินของเราก็ต้องดูแลเอง และศึกษาให้ดีๆด้วยจ้า 

รีวิว Bitkub.com เป็น เว็บเทรดเหรียญดิจิตอลน้องใหม่มาแรงในไทย

Bitkub.com เป็น เว็บเทรดเหรียญดิจิตอลน้องใหม่มาแรงในไทย เริ่มเทรดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 พ.ค 2561 มีเป้าหมาย เพื่อให้ผู้คน มีความรู้ความเข้าใจ และ สามารถเข้าถึง cryptocurrency ได้อย่างง่ายดาย โดยแพลตฟอร์มออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน ช่วยลดอุปสรรคของผู้ใช้ในการเข้าถึงระบบ

>>>อ่านต่อที่นี่<<<

BX เว็บเทรด Bitcoin อันดับหนึ่งของไทย ประกาศหยุดกิจการซื้อขายเหรียญดิจิทัล ประกาศเมื่อ 2 กย. 2562

BX เว็บเทรด Bitcoin อันดับหนึ่งของไทย ได้ออกมาประกาศหยุดกิจการซื้อขายเหรียญดิจิทัล  โดยอ้างอิงจากการประกาศของ BX เมื่อเช้าวันที่ 2 กันยายน 2562  ได้มีการเขียนไว้ในเว็บไซต์ดังนี้

BX ประกาศปิด กิจการ

 

จุดที่เป็นประเด็นก็คือว่าทาง Bx นั้น แจ้งว่า

“ไม่มีความประสงค์จะต่อใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2563 อีกต่อไป”

อีกทั้งยังแจ้งให้ลูกค้าทำการ “เปิดคำสั่งถอนสินทรัพย์ดิจิทัลและเงินออกจากบัญชีที่มีอยู่ภายใต้ระบบ BX.in.th เพื่อเข้าสู่บัญชีธนาคารพาณิชย์และหรือกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัว (Personal Wallet) ให้เรียบร้อยก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 

และจะยุติการทำรายการฝากหลังวันที่ 6 กันยายน 2562 ดังนั้นลูกค้าจะไม่สามารถทำรายการฝากรายการใหม่ได้อีกต่อไป

BX ถือว่าเป็น เว็บเทรด Bitcoin เว็บแรกของไทย เปิดให้บริการมาแล้วถึง 5 ปี ซึ่งการประกาศปิดตัวลงอย่างสายฟ้าแลบโดยไม่มีสัญญาณให้รู้ล่วงหน้านั้นถือเป็นเรื่องที่ทำให้นักเทรดบิทคอยน์ช็อคไปตามๆกัน


ปัจจุบันมีเว็บไซต์ผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญดิจิทัลในไทยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด 5 ราย

รวม Bx ไปด้วย ซึ่งหากเว็บเทรด Bx ปิดตัวลงนี้ก็จะยังเหลือ 2 เว็บเทรดหลัก คือ

1. Bitkub.com 

2. Satang Pro

ส่วนอีก 2 รายที่เหลืออย่าง Huobi Thailand และ Bitherb นั้นยังไม่ได้เปิดให้บริการซื้อขายเหรียญดิจิทัล

 

ก.ล.ต. ไทยตั้งศูนย์แนะนำช่วยเหลือผู้ลงทุนเฉพาะกิจ

ภายหลังจากการประกาศปิดตัวดังกล่าวของ Bx นั้น ทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ออกมาประกาศว่าจะทำการตั้งศูนย์แนะนำช่วยเหลือผู้ลงทุนเฉพาะกิจ “เพื่อช่วยเหลือและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการถอน การรับโอนคืน หรือโอนย้ายสินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าว”

Bx ปิด

ดังนั้นใครที่มีเหรียญอยู่ใน BX ก็ทยอยถอนออกโดยด่วน และใครมีเพื่อนเคยเทรดแล้วช่วงนี้ไม่ได้ดูก็ไปบอกเขาด้วยนะคะ!! 

 

Credit:สำนักงาน กลต. 

: https://siamblockchain.com/

3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่มีการซื้อขายสูงสุด 2019

ถึงแม้ว่าตลาดบิทคอยน์ในช่วงนี้อยู่ในช่วงซบเซา แต่ก็ยังมี เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก สำหรับนักเทรดมือใหม่หลายคน การเลือก เว็บเทรด Bitcoin ที่ดี น่าเชื่อถือนั้น จะมีผลต่อการเทรดของคุณเป็นอย่างมาก มันอาจจะเป็นตัวชี้วัดในการทำกำไร หรือ ขาดทุน ในอนาคตของคุณเลยก็ว่าได้  ในโลกออนไลน์มีเว็บเทรดบิทคอยน์จำนวนมากก็จริง แต่เว็บไหนที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดนั้นมีอยู่ไม่กี่เว็บ

วันนี้  GoalBitcoin จะมานำเสนอ 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่มีการซื้อขายสูงสุด ในปี 2019  เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจสำหรับมือใหม่หัดเทรด หรือ ใครที่อยากลองเทรดในต่างประเทศดูเพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่แน่คุณอาจสามารถทำกำไรได้ที่นี่!!

 

Cryptocurrency Exchange 2019


1. Binance

เป็นเว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล อันดับ 1 ก่อตั้งเมื่อปี 2017  มี CEO ชื่อ Changpeng Zhao บริษัท Binance เป็นธุรกิจด้านเงินคริปโตที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เห็นได้จากการมีปริมาณการซื้อขาย มากเป็นอันดับ 1    ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $503,983,878  มีเหรียญดิจิตอลให้เทรดจำนวนมากกว่า 563 คู่ มีเหรียญ 166  เหรียญในการกระดานเทรด สามารถเทรดแบบ Spot และ แบบ Margin ได้ รวมทั้งมีโปรแกรมใหม่ให้กู้ยืมเหรียญ (Lending) ได้อีกด้วย

โดยเหรียญที่นิยมเทรดมากสุด 9 อันดับตามรูปด้านล่าง

ปริมาณการเทรด Binance

หาข้อมูลเพิ่มเติม Binance.com ได้ที่นี่


2.Coinbase Pro 

เป็นเว็บเทรด Bitcoin จากสหรัฐอเมริกา ที่มีปริมาณการซื้อขาย  มาเป็นอันดับ 2   ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $123,254,353 มีเหรียญดิจิตอลอื่นๆให้เทรดจำนวนมากกว่า 51 คู่ 21 เหรียญในกระดานเทรด (แต่มีข้อจำกัด คือ ไม่อนุญาติบางประเทศในการเทรด รวมทั้งประเทศไทยด้วย)

เว็บเทรด bitcoin ต่างประเทศ

หาข้อมูลเพิ่มเติม coinbase.com ได้ที่นี่


3.Huobi Global

เป็นเว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดของจีน ที่มีปริมาณการซื้อขาย  มาเป็นอันดับ 3   ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $92,840,951 มีเหรียญดิจิตอลอื่นๆให้เทรดจำนวนมากกว่า 529 คู่ 221 เหรียญในกระดานเทรด  เว็บนี้ ได้รับความนิยมในการเทรด Margin อย่างมาก

เว็บเทรด bitcoin ต่างประเทศ

หาข้อมูลเพิ่มเติม huobipro.com ได้ที่นี่


สุดท้ายแล้ว  นักเทรดคริปโตจะซื้อจะขายเหรียญที่เว็บเทรดไหนก็ควรจะพิจารณากันให้ดี และควรศึกษาทำเข้าใจความเสี่ยงของตลาดคริปโตกันไว้ด้วย เงินของเราก็ต้องดูแลเอง ถึงแม้ว่าทั้ง 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ จะมีปริมาณการซื้อขายสูงมากก็จริง แต่ก็ไม่ได้การันตีว่า จะไม่มีความเสี่ยงและความเสียหายเกิดขึ้นในอนาคตนะคะ 

 

“เป็นกำลังใจให้นักเทรดทุกคนค่ะ”

 

Credit: https://www.coingecko.com

5 เว็บเทรด Bitcoin ในไทย ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 2018

ในช่วงระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา เราปฎิเสธไม่ได้เลยว่า โลกของเรา มาถึงยุคดิจิตอลอย่างแท้จริง แม้กระทั่งการซื้อขายกันผ่านโลกออนไลน์ ยังมีการใช้เงินแบบดิจิตอล หรือเงินคลิปโต ซึ่งกลายเป็นแหล่งเงินทุน ที่ได้รับความสนใจ และเป็นนิยมกันอย่างกว้างขวาง ทำให้มีผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินคลิปโต เกิดขึ้นหลายเจ้า เพื่อใช้ซื้อขาย Bitcoin ในโลกออนไลน์ได้อย่างอิสระ

เราได้รวบรวม 5 เว็บเทรด Bitcoin ในไทย ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดของปี 2018 มาฝากกัน มาดูกันเลย เว็บไหนปัง เว็บไหนดัง เหมาะกับไลฟ์สไตล์การซื้อขายเงิน Bitcoin ของคุณมากที่สุด

1. BX.in.th

เว็บไซต์นี้จัดว่าเป็น เว็บซื้อขาย Bitcoin อันดับ 1 ของไทย ซึ่งเป็นแหล่งการซื้อขายเหรียญ Bitcoin ในรูปแบบของกระดานหุ้น เหมาะแก่การนำไปใช้เก็งกำไร ซื้อขาย ได้เหมือนหุ้น ผ่านเว็บ BX.in.th    ได้ง่ายๆ สมัครสมาชิกฟรี ยืนยันตัวตนได้ด้วยบัตรประชาชน แถมยังมีระบบความปลอดภัยที่สูงมี Volume การซื้อขาย Bitcoin เป็นจำนวนมากอีกด้วย

สำหรับ ข้อดี ของการใช้เว็บ BX.in.th    ก็คือ สามารถซื้อขายเหรียญ Bitcoin ได้แบบไม่จำกัดวงเงิน และจำนวนคู่ของเหรียญที่ทาง Bx ให้บริการนั้นมีมากถึง 20 คู่ โดยคู่หลักๆที่นิยมบนเว็บในตอนนี้คือ THB/BTC และ THB/ETH อีกทั้งยังมีระบบคำถามที่พบบ่อยและ Knowledge base คอยสอนผู้ใช้งานมือใหม่ ทำให้ใช้งานเว็บเทรดง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่ ข้อเสีย คือ มีให้เลือกเทรดแค่ Spot trading เพียงหมวดเดียว และแม้ว่า Layout จะดูเรียบง่ายสบายตา แต่ดีไซน์ก็ยังดูล้าสมัยอยู่ และหากมีปัญหาใดๆต้องการติดต่อ  ไม่มีช่องทางเร่งด่วน ติดต่อได้ทาง ระบบ Technical Support ได้ทางเดียวเท่านั้น

สรุป  BX.in.th   เป็นเว็บเทรดที่ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะเป็นเว็บแรกของไทย ที่ทำให้รู้จักการทำกำไรกับ Bitcoin ได้อย่างแท้จริง ดังนั้น หากใครเป็นกำลังเป็นมือใหม่ในวงการ Bitcoin มาเริ่มต้นเทรดหากำไรได้จากเว็บนี้เลย BX.in.th

หาข้อมูลเพิ่มเติม BX.in.th ได้ที่นี่


2. TDAX.com 

ถ้าจะพูดถึงเว็บซื้อขาย  Cryptocurrency ที่น่าเชื่อถือของไทยอีกเจ้า พลาดไม่ได้เลยกับเว็บนี้ ซึ่งมีเหรียญ Bitcoin และ Altcoin ซื้อขายได้โดยไม่จำกัดวงเงิน มีกระดานเทรดซื้อขายเหมือนหุ้น ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เหมาะกับมือใหม่ ที่ไม่ต้องการความยุ่งยาก เชื่อถือได้จากผู้ก่อตั้งอย่าง คุณปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งเหรียญ ZCoin TDAX

สำหรับ ข้อดี ของการใช้เว็บ  TDAX.com  คือ การรับส่งเงินระหว่างกระเป๋า Bitcoin ทำได้อย่างรวดเร็ว และยังมี Customer Support บริการตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย แต่ ข้อเสีย คือ ยังมีเหรียญซื้อขายให้น้อย ปริมาณการซื้อขายก็ยังน้อย เพราะเป็นเว็บใหม่

สรุป TDAX.com  ถือเป็นเว็บเทรดซื้อขายเหรียญ Bitcoin ที่น่าจับตามองอีกเว็บหนึ่ง หากใครสนใจความง่าย สะดวก รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน TDAX.com  น่าจะเป็นเว็บเทรดที่ตอบโจทย์มือใหม่ได้เป็นอย่างดี

หาข้อมูลเพิ่มเติม TDAX.com ได้ที่นี่


3. CoinAsset.co.th 

เป็นบริษัทที่ให้บริการเว็บเทรดสัญชาติไทย ซึ่งมีทุนจดทะเบียนกว่า 30 ล้านบาท มียอดผู้สมัครที่ยืนยันตัวตนบนเว็บไซต์แล้วกว่า 5,000 คน ปัจจุบันเว็บซื้อขายสกุลเงินดิจิตอล Coin Asset นี้ กำลังร่วมมือกับ SuperRich บริษัทรับแลกเงินรายใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งจับมือกันเพื่อพัฒนาระบบซื้อขายแบบ OTC ครั้งแรกในอาเซียน

สำหรับ ข้อดี ของการใช้เว็บ CoinAsset.co.th คือ มีบริการรับแลก Bitcoin เป็นเงินสดที่ SuperRich ได้โดยตรง ไม่ยุ่งยาก ส่วน ข้อเสีย นั้น ยังคงต้องดูกระแสตอบรับจากผู้เล่นเว็บเทรดกันต่อไป ว่าจะใช้งานได้ดีหรือไม่ เนื่องจากเพิ่งมีการเซ็นสัญญาร่วมไปเมื่อปลายเดือนเมษายน 2561 ที่ผ่านมา

สรุป CoinAsset.co.th เหมาะสำหรับนักเล่นเว็บเทรดที่ชอบการซื้อขาย Bitcoin แบบแลกเปลี่ยนกันเองได้โดยตรง จากการร่วมมือพัฒนาระบบของทั้งสองบริษัท ซึ่งสามารถนำ Bitcoin มาแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ด้วย

หาข้อมูลเพิ่มเติม coinasset.co.th ได้ที่นี่


4. Bitkub.com 

เป็นเว็บเทรดเหรียญดิจิตอลน้องใหม่มาแรงในไทย เริ่มมีการเทรดอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก โอนได้รวดเร็ว มีเป้าหมายที่ให้นักเล่นเทรดมีความรู้ ความเข้าใจ และเข้าถึง cryptocurrency ได้โดยง่าย ช่วยให้คนที่มาเทรดมีปริมาณการซื้อขายรองรับความต้องการที่เพียงพอ อยากซื้อต้องได้ซื้ออยากขายต้องได้ขาย ด้วยการบริการที่รวดเร็ว ฝากถอนไว ผู้ใช้ที่มาสนับสนุนในช่วงแรกๆจะได้รับสิทธิพิเศษโปรโมชั่นอีกมากมาย

สำหรับ ข้อดี ของ Bitkub.com คือ มีทีม Customer support ที่สามารถช่วยเหลือดูแลลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยสูง โดยมี Hot Storage และ Cold Storage เพื่อดูแลเหรียญทุกๆเหรียญที่ลูกค้าฝากไว้ ส่วน ข้อเสีย คือ เป็นเว็บใหม่ ปริมาณเหรียญซื้อขายยังน้อย และมีเฉพาะเหรียญ Bitcoin และ Etherium ให้เทรดในช่วงแรกนี้เท่านั้น

สรุป Bitkub.com นับว่าเป็นเว็บเทรดที่ได้รับความนิยมในไทย จนอาจจะก้าวมาเป็นอันดับ 1 ในเร็วๆ นี้ได้ เพราะมีทีมงานที่อยู่เบื้องหลังที่มีความชำนาญและประสบการณ์อย่างมาก อย่าง คุณต้น สกลกรย์ สระกวี ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Bitcoin Thai Club และ เป็นอดีต CEO ของ Garena Thailand ซึ่งประสบความสำเร็จเรื่องการบริการเกมระดับประเทศ และ คุณแบงค์ อธิชนัน พูลเกษ อดีตผู้บริหารของ Goldman Sachs และ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาองค์กรของ DTAC พร้อมทั้งกิจกรรมพิเศษ และแจกรางวัลให้เพียบ เป็นเว็บเทรดที่จูงใจคนได้สูง

หาข้อมูลเพิ่มเติม bitkub.com ได้ที่นี่


5. jib-ex.com

เว็บบริการเทรดเดอร์ อีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะเป็นธุรกิจที่ขยายมาจากบริษัทแม่อย่าง J.I.B. หนึ่งในตัวแทนจำหน่ายฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ชั้นนำของไทย ซึ่งปัจจุบัน JIBEX ให้บริการในรูปแบบของทั้งหน้าเว็บ, แอป iOS และ Andriod อีกทั้งยังสามารถขอรับคำปรึกษาการใช้บริการจาก J.I.B ซึ่งมีกว่า 150 สาขาทั่วประเทศ

สำหรับ ข้อดี ของการใช้เว็บ jib-ex.com คือ ก่อตั้งขึ้นด้วยกลุ่มคนที่เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกฟินเทคหรือเทคโนโลยีด้านการเงินของไทยในยุคนี้ มีความเข้าใจนักลงทุน สามารถคัดกรองให้ข้อมูลข่าวสารช่วยประกอบการตัดสินใจ เพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้กับนักลงทุนมากยิ่งขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบ Robot Trade ซึ่งจะคอยบอกสัญญาณให้นักลงทุนว่าเมื่อไหร่ควรซื้อหรือควรขายคลิปโต ส่วน ข้อเสีย คือ ปัจจุบันยังมีสกุลเงินดิจิตอลให้เลือกน้อยอยู่

สรุป jib-ex.com นับว่าเป็นเว็บเทรดที่เชื่อถือได้สูง เพราะมาจากธุรกิจชื่อดังอย่าง J.I.B สำหรับนักลงทุน หรือผู้ที่สนใจสามารถสมัครเป็นสมาชิกกับ JIBEX ได้ผ่านเว็บไซต์ หรืออัพเดทความรู้ ข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนดิจิตอลที่ Learning Center พร้อมดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น JIBEX ได้แล้ว สำหรับ IOS และ  Android

หาข้อมูลเพิ่มเติม jib-ex.com ได้ที่นี่


สรุปภาพรวม  ทั้ง 5 เว็บเทรดนี้ เป็นเว็บ Bitcoin ในเมืองไทย ที่กำลังได้รับความนิยมสูง และมีปริมาณการซื้อขายกันค่อนข้างมาก ในปี 2018 หวังว่าจะถูกใจนักเล่นเทรดทั้งหลาย ที่ต้องการทำกำไรจาก Bitcoin ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ หรือ มืออาชีพ ลองเข้าไปเทรดกับเว็บเหล่านี้ได้ อีกทั้งยังสมัครสมาชิกได้อย่างง่ายดาย เหมาะสม

อย่างยิ่งที่คุณจะใช้เป็นช่องทางในการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนเหรียญ Bitcoin & Altcoin และทำธุรกรรมต่างๆ ลองสมัครและใช้งานกันดูได้เลย




ตารางสรุป  5 เว็บเทรด Bitcoin ไทย ที่มีการซื้อขายสูงสุด ในปี 2018

เว็บเทรดBitcoin

~ Volume ซื้อ ขาย/วัน

จำนวนคู่เหรียญ

เหรียญ

ค่าธรรมเนียม

1. BX.in.th  

~2,432,471 USD 

(315.52 BTC)

 26 

 BTC,ETH,OMG,BCH,DAS,DOG,GNO

LTC,EVX,XRP,XZC,ZEC,ZMN เป็นต้น

 0.25%

2.TDAX.com

~ 95,592 USD

(12.49 BTC)

 24

 BTC,ETH,NEO,XZC,KNC,OMG,USDT

LTC,POWER,ELEC,RPX, เป็นต้น

  0.25%

3. CoinAsset.co.th  

~ 60,816 USD

(8.75 BTC)

 9  BTC,ETH,FCC,HPC,JFIN,DEV  0.25%
4. Bitkub.com  

~ 38,760 USD

(5.1 BTC)

 2  BTC, ETH   0.25%
 

5.  jib-ex.com

 

~ 6,400 USD

 (0.9277 BTC)

 2  BTC, ETH   0.25%

 

5 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่มีการซื้อขายสูงสุด 2018

5 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่มีการซื้อขายสูงสุด ในปี 2018 เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจสำหรับมือใหม่ หรือ ใครที่อยากลองเทรดในต่างประเทศดูเพื่อกระจายความเสี่ยง ในช่วงที่ตลาดซื้อขายบิทคอยน์ในประเทศที่กำลังซบเซา ไม่แน่คุณอาจสามารถทำกำไรได้ที่นี่

อ่านเพิ่มเติม ที่นี่

รีวิว Bitkub.com เว็บเทรดเหรียญดิจิตอลน้องใหม่ มาแรง! ในไทย

ถ้าคุณกำลัง มองหาเว็บเทรดบิทคอยน์ ที่มีความน่าเชื่อถือ และกำลังมาแรงที่สุดไทย

 

ผู้เขียนคิดว่า หาก bx.in.th คือเบอร์หนึ่งของไทยแล้ว เว็บไซต์เทรดน้องใหม่ที่จะทำการรีวิวนี้แหละ ที่อาจเข้ามาแย่งชิงอันดับ 1 จาก bx.in.th ได้ในเร็วๆนี้  ผู้เขียนกำลังพูดถึงเว็บเทรดที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดในปี 2018 นั่นคือ Bitkub

 

ทำความรู้จักกับ Bitkub.com 

Bitkub.com เป็น เว็บเทรดเหรียญดิจิตอลน้องใหม่มาแรงในไทย เริ่มเทรดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 พ.ค 2561 มีเป้าหมาย เพื่อให้ผู้คน มีความรู้ความเข้าใจ และ สามารถเข้าถึง cryptocurrency ได้อย่างง่ายดาย โดยแพลตฟอร์มออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน ช่วยลดอุปสรรคของผู้ใช้ในการเข้าถึงระบบ และช่วยให้ความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการในการถ่ายโอน,ซื้อขาย เหรียญต่างๆ อย่างรวดเร็ว

 

ความน่าเชื่อถือ ของเว็บเทรดน้องใหม่ Bitkub.com ?

ถึงแม้จะเป็นเว็บเทรดเหรียญดิจิตอลน้องใหม่ที่พึ่งเปิดตัว แต่กระแสของ Bitkub มาแรงมากในไทย ส่วนหนึ่งมาจากความน่าเชื่อถือในตัว ผู้บริหาร โดยผู้บริหารหลักของ Bitkub มีดังนี้

  1. คุณต้น สกลกรย์ สระกวี ผู้ก่อตั้งและเป็น CEO ของบริษัท Bitkub Online Co., Ltd. และ Bitkub Blockchain Technology Co., Ltd. มีชื่อเสียงเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม Bitcoin Thai Club และ เป็นอดีต CEO ของ Garena Thailand ซึ่งประสบความสำเร็จเรื่องการบริการเกมระดับประเทศ เช่น RoV, LoL, Fifa Online, HoN และอื่นๆอีกมากมาย
  2. คุณแบงค์ อธิชนัน พูลเกษ อดีตผู้บริหารของ Goldman Sachs และ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาองค์กรของ DTAC ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Bitkub Online Co., Ltd. และ บริษัท Bitkub Blockchain Technology Co., Ltd.

 

เป้าหมายของ Bitkub.com คือ?

สำหรับภารกิจแรกของ Bitkub.com คุณสกลกรย์ สระกวี กล่าวไว้ว่า “จุดประสงค์หลักคืออยากให้คนที่มาเทรดมีปริมาณการซื้อขายรองรับความต้องการที่เพียงพอ อยากซื้อต้องได้ซื้ออยากขายต้องได้ขาย ด้วยการบริการที่รวดเร็ว ฝากถอนไว ผู้ใช้ที่มาสนับสนุนเราในช่วงแรกๆจะได้รับสิทธิพิเศษโปรโมชั่นอีกมากมาย”

บริษัท Bitkub เปิดโดยคนไทยและมีตัวตนที่อยู่ สามารถตอบโจทย์เรื่องความโปร่งใสได้ครบถ้วน และ ถ้าหากผู้ใช้เว็บไซต์มีคำถามหรือปัญหา Bitkub.com มีทีม Customer support ที่สามารถช่วยเหลือดูแลลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

เว็บเทรด Bitkub มีเหรียญอะไรบ้าง ?

ในช่วงแรกสามารถเทรด Bitcoin และ Etherium เท่านั้น ส่วนเหรียญ Altcoin อื่นๆ เช่น OMG ,WAN, ADA จะสามารถเทรดได้เร็วๆนี้

จุดเด่น – จุดด้อยของเว็บเทรด Bitkub.com

จุดเด่น

จุดด้อย

1.การใช้งานเว็บไซต์ไม่ยุ่งยาก โอนรวดเร็ว

2. มีระบบความปลอดภัยสูง โดยมี Hot Storage และ Cold Storage เพื่อดูแลเหรียญทุกๆเหรียญที่ลูกค้าฝากไว้

3. มี customer service ดูแล Support รวดเร็ว ตลอด 24 ชั่วโมง

4. มีการโปรโมทที่ดี จูงใจนักเทรด เช่น แจกรถ แจกเหรียญ หรือ ให้รางวัลในการเทรดเหรียญ

1. เป็นเว็บใหม่ ปริมาณการซื้อขาย เหรียญ ยังน้อย

2. ช่วงแรกมีเหรียญ Bitcoin และ Etherium ให้เทรดเท่านั้น

3. อาจได้รับผลกระทบจากข้อกฎหมายของทางภาครัฐ

 

ปัจจัยที่ทำให้เว็บเทรด Bitkub.com ได้รับนิยมในไทย และอาจจะก้าวมาเป็นอันดับ 1 ในไทยเร็วๆนี้ 

  • ทีมงานที่อยู่เบื้องหลังเว็บเทรด Bitkub นั้น เป็นทีมที่มีความชำนาญและประสบการณ์อย่างมาก เช่น คุณต้น สกลกรย์ สระกวี ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Bitcoin Thai Club และ เป็นอดีต CEO ของ Garena Thailand ซึ่งประสบความสำเร็จเรื่องการบริการเกมระดับประเทศ และ คุณแบงค์ อธิชนัน พูลเกษ อดีตผู้บริหารของ Goldman Sachs และ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาองค์กรของ DTAC
  • ผู้ที่เทรดกับ Bitkub จะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย เช่น 1,000 บาท fee credits เพื่อใช้เป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมเทรด และมีโปรแกรมแนะนำเพื่อน Referral  Program  ผู้ชวนได้รับ 60% และ ผู้ถูกชวนได้ลด 40% จากค่าธรรมเนียมเทรดอีกด้วย!
  • มีกิจกรรมแข่งขันการเทรดอย่างต่อเนื่อง  เพื่อให้ผู้ใช้งานมาฝึกฝีมือทำกำไรการเทรดแข่งกับผู้ใช้งานท่านอื่นๆ โดยแข่งขันการเทรด BTC หรือ ETH ตามอันดับปริมาณสูงสุด มีรางวัลมากมาย

THE CHALLENGE IS ON!

แข่งขันการเทรด BTC หรือ ETH ตามอันดับปริมาณสูงสุด

รางวัลใหญ่อันดับ 1. รถยนต์ Mazda2 2018 1.3 Standard มูลค่า 530,000 บาท (หรือ BTC ตามมูลค่าปัจจุบัน)
รางวัลใหญ่อันดับ 2. Iphone X 64GB (หรือ BTC ตามมูลค่าปัจจุบัน)
รางวัลใหญ่อันดับ 3. Huawei P20 Pro (หรือ BTC ตามมูลค่าปัจจุบัน)
รางวัลใหญ่อันดับ 4. Samsung S9+ (หรือ BTC ตามมูลค่าปัจจุบัน)
รางวัลใหญ่อันดับ 5-10. BTC มูลค่า 6,000 บาทต่อท่าน
รางวัลใหญ่อันดับ 11-20. BTC มูลค่า 3,000 บาทต่อท่าน

ระยะเวลากิจกรรม: 9 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2018

 

ขั้นตอนการสมัคร เว็บเทรด Bitkub.com

1.เข้าไปที่เว็บไซต์ Bitkub.com คลิกที่สมัครสมาชิก และ กรอกข้อมูล

2. เข้าไปยืนยันอีเมล์

3. เข้าไปเช็คใน Email ที่ได้ลงทะเบียนไว้ และเข้าไปคลิกยืนยันตัวตน

4.เข้ามาสู่หน้าจอ Dashboard. 

  • สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือ การยืนยันตัวตน , การเพิ่มบัญชีธนาคาร และสิ่งที่สำคัญอย่างมาก คือ การตั้งค่า Google Auth เพื่อความปลอดภัย ไกลจากการโจรกรรม

5.เมื่อยืนยันเอกสารครบถ้วนแล้ว คราวนี้มาถึงหน้าตาเว็บเทรด Bitkub กัน 

>>>หาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ Bitkub.com<<<


รีวิว epayments บัตรกดเงินบิทคอยน์ ทำให้การถอนเงินสดเป็นเรื่องง่าย

อีกช่องทางหนึ่ง สำหรับนักลงทุนดิจิตอล ในการถอนเงินบาทออกจากเหรียญ Crypto Currency ที่เราครอบครองอยู่ นั่นก็คือ การถอนเงินบาทผ่านทางบัตร epayments ซึ่งเป็น บัตรเดบิตบิทคอยน์ แบบ MasterCard นั่นเอง

>>>อ่านต่อที่นี่<<<




5 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่มีการซื้อขายสูงสุด 2018

ในปัจจุบันนี้ มี เว็บเทรด Bitcoin นอก ผุดขึ้นมามากมาย สำหรับมือใหม่หลายคน การเลือกเว็บเทรด Bitcoin ที่ดี น่าเชื่อถือนั้น จะมีผลต่อการเทรดของคุณอย่างมาก มันอาจจะเป็นตัวชี้วัดในการทำกำไร ขาดทุน ในอนาคตของคุณเลยก็ว่าได้  ในโลกออนไลน์มีเว็บเทรดจำนวนมากก็จริง แต่เว็บไหนที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดมีอยู่ไม่กี่เจ้า

วันนี้  ผู้เขียนจึงอยากมานำเสนอ 5 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่มีการซื้อขายสูงสุด ในปี 2018  เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจสำหรับมือใหม่ หรือ ใครที่อยากลองเทรดในต่างประเทศดูเพื่อกระจายความเสี่ยง ในช่วงที่ตลาดซื้อขายบิทคอยน์ในประเทศที่กำลังซบเซา ไม่แน่คุณอาจสามารถทำกำไรได้ที่นี่!!

 

1. Binance.com

เป็นเว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล สัญชาติฮ่องกง ที่มีปริมาณการซื้อขาย มากเป็นอันดับ 1    ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $1,505,326,474  มีเหรียญดิจิตอลให้เทรดจำนวนมากกว่า 300 คู่  โดยเหรียญที่นิยมเทรดมากสุด 10 อันดับตามรูปด้านล่าง

Binance เป็นเว็บที่ผู้ถือเหรียญ NEO สามารถ นำมาฝากไว้ที่นี่ เพื่อจะได้ปันผลเป็นเหรียญ Gas

ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายเหรียญดิจิตอล อยู่ที่ 0.10 เปอร์เซ็นต์  หรือดูค่าธรรมเนียมแต่ละเหรียญได้ที่นี่

หาข้อมูลเพิ่มเติม binance.com ที่นี่


2. Huobipro.com

เป็นเว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดของจีน ที่มีปริมาณการซื้อขาย  มาเป็นอันดับ 2   ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $1,221,045,262    มีเหรียญดิจิตอลอื่นๆให้เทรดจำนวนมากกว่า 207 คู่  เว็บนี้ ได้รับความนิยมในการเทรด Margin อย่างมาก

หาข้อมูลเพิ่มเติม Huobipro.com ที่นี่


3. UPbit.com

เป็นเว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล สัญชาติเกาหลี  ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่  $1,097,787,014

มีเหรียญดิจิตอลอื่นๆให้เทรดจำนวนมากกว่า 242 คู่ แต่อนุญาติให้คนเกาหลีใต้เทรด เท่านั้น

หาข้อมูลเพิ่มเติม upbit.com ที่นี่


4. OKex.com

เป็นเว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล สัญชาติจีน ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $1,010,886,158

มีเหรียญดิจิตอลอื่นๆให้เทรดจำนวนมากกว่า 464 คู่ สามารถเทรด BTC LTC Future ได้ที่นี่

หาข้อมูลเพิ่มเติม okex.com ที่นี่


 

5. Bitfinex.com 

เป็นเว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล  สัญชาติฮ่องกง ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $768,300,235

มีเหรียญดิจิตอลอื่นๆให้เทรดจำนวนมากกว่า 50 คู่ เคยเป็นเว็บเทรดอันดับ 1 ในปี 2017 

หาข้อมูลเพิ่มเติม bitfinex.com ที่นี่


 

การที่เราจะเลือก เว็บเทรด Bitcoin ควรจะต้องดูจากหลายองค์ประกอบ ดังนี้

  1. เป็นเว็บเทรดที่มีมาตรฐาน และมีปริมาณการซื้อขายสูง
  2. มีความน่าเชื่อถือ และปลอดภัย 
  3. การโอนหรือถอนเหรียญทำได้รวดเร็ว
  4. มีเหรียญใหม่ๆให้เทรดหลายเหรียญ 
  5. ค่าธรรมเนียมไม่สูงมาก
  6. มีระบบ Support คอยบริการตลอด 24 ชั่วโมง

 

ตารางสรุป  5 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่มีการซื้อขายสูงสุด ในปี 2018

เว็บเทรด

บิทคอยน์

ข้อมูลเว็บไซต์

ข้อดี – ข้อเสีย

ปริมาณการซื้อขาย

(Volume)

ค่า

ธรรมเนียม

Binance.com

เว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอลอันดับ 1 สัญชาติฮ่องกง ข้อดี

* ระบบเทรดมีมาตฐาน และรวดเร็ว

* ถือ NEO ในเว็บ ได้ปันผล GAS

* รองรับภาษาจีน เกาหลี อังกฤษ

* มีเหรียญใหม่เป็นกระแสจำนวนมาก

 

ข้อเสีย

* ไม่อนุญาติคนจีน เทรดที่เว็บนี้

* มีผู้ใช้งานจำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาเว็บล่มในบางช่วง

$1,505,326,474

0.10%

 

Huobipro.com

 

เว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล สัญชาติจีน ข้อดี

* ถือเป็นเว็บเทรดที่ใหญ่สุดในจีน

* มีส่วนลดสำหรับ Membership

* รองรับ 12 ภาษา รวมทั้งไทย

* มี Margin เทรด

* มีเหรียญที่เป็นกระแสจำนวนมาก

 

ข้อเสีย

* เคยมีการรายงานปริมาณการซื้อขายมากผิดปกติ

$1,221,045,262  0.20%

UPbit.com 

 

เว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล สัญชาติเกาหลี ข้อดี

* เจาะตลาดนักเทรดเกาหลีใต้

*เป็น Partner กับเว็บเทรด Bittrex

* มีเหรียญที่เป็นจำนวนมาก

 

ข้อเสีย

* รองรับเฉพาะนักเทรดเกาหลีใต้เท่านั้น

 $1,097,787,014  0.25%

Okex.com

 

เว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล สัญชาติจีน ข้อดี

* มี BTC LTC Future

*มีเหรียญที่เป็นกระแสจำนวนมาก

 

ข้อเสีย

* มีความเสี่ยงในด้านกฎหมายในจีน

$1,010,886,158  0.20%

Bitfinex.com

เว็บกระดานเทรดเหรียญดิจิตอล  ที่ใหญ่ที่สุด สัญชาติไต้หวัน ข้อดี

* เคยเป็นเว็บเทรดที่มีปริมาณซื้อขายสูงมากที่สุดปี 2017

* สามารถเทรดแบบ Margin ที่นี่

 

ข้อเสีย

* เคยมีการรายงานปริมาณการซื้อขายมากผิดปกติ

$768,300,235

0.20%



รีวิว epayments บัตรกดเงินบิทคอยน์ ทำให้การถอนเงินสดเป็นเรื่องง่าย

วันนี้ผู้เขียนจึงอยากมานำเสนอ อีกช่องทางหนึ่ง สำหรับนักลงทุนดิจิตอล ในการถอนเงินบาทออกจากเหรียญ Crypto Currency ที่เราครอบครองอยู่ นั่นก็คือ การถอนเงินบาทผ่านทางบัตร epayments ซึ่งเป็น บัตรเดบิตบิทคอยน์ แบบ MasterCard นั่นเอง

อ่านต่อที่นี่

 

รีวิว epayments บัตรกดเงินบิทคอยน์ ทำให้การถอนเงินสดเป็นเรื่องง่าย

รีวิว epaymentsปัจจุบันนี้ ช่องทางในการถอนเงินสดออกมาจากเหรียญ บิทคอยน์ หรือ เหรียญ Cryto Currency อื่นๆ ในเมืองไทย มีอยู่ไม่กี่วิธี โดยวิธีที่นิยมยังคงเป็นการถอนเงินบาท จากเว็บเทรด เช่น Bx.in.th หรือ Tdax.com

แต่หลังจากที่รัฐบาล เริ่มเข้ามามีบทบาทและได้เพิ่มการกวดขันเรื่องภาษีอย่างหนัก “เก็บภาษีถึง 15 % จากกำไรการซื้อขาย Bitcoin”  ทำให้นักลงทุนหลายๆคนเริ่มมองหา ช่องทางในการถอนเงินแบบอื่นๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษี และเพิ่มความสามารถในการใช้จ่ายเงิน Cryto Currency ให้ได้มากขึ้น

 

วันนี้ผู้เขียนจึงอยากมานำเสนอ อีกช่องทางหนึ่ง สำหรับนักลงทุนดิจิตอล ในการถอนเงินบาทออกจากเหรียญ Crypto Currency ที่เราครอบครองอยู่ นั่นก็คือ การถอนเงินบาทผ่านทางบัตร  epayments ซึ่งเป็น บัตรเดบิตบิทคอยน์ แบบ MasterCard นั่นเอง

 

หลายคนประสบปัญหาการถอนเงินบาทออกมา ผู้เขียนจึงอยากมา รีวิว epayments บัตรเดบิตบิทคอยน์ ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเราสามารถถอนเงินจากตู้ ATM ตู้ไหนก็ได้ในไทย และทั่วโลก โดยเพียงแค่เรามีเหรียญ Bitcoin, Etherium, Litecoin , BTH, BTG อยู่ใน บัตรเดบิต ePayments นี้เท่านั้น!

epayments คือ อะไร? 

ePayments คือ Platform การชำระเงินที่หลากหลาย แบบ eWallet จัดอยู่ในบัตรเดบิต กล่าวคือ เราต้องมีเงินฝากในบัญชีก่อน จึงจะสามารถถอนออกมาได้ ข้อดีของบัตรเดบิตนี้ คือ เราสามารถฝาก Bitcoin, ETH, BTG, BTH, LTC เข้าไปในระบบ และสามารถถอนออกมาเป็นเงินบาทได้เลย โดยผ่านตู้ ATM ในไทยที่รองรับบัตร Master Card

คำแนะนำ ควรถอนเงินไม่เกิน 50,000 บาท/ครั้ง ซึ่งตรงนี้ถือว่ามีส่วนช่วยให้นักลงทุนประหยัดภาษีไปในตัว เนื่องจากเงินที่กดออกมานั้นเป็นเงินสด ไม่ได้มีการบันทึกว่าผู้ใดเป็นเจ้าของบัญชีดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่าหากนักลงทุนมีเงินได้พึงประเมิน ก็ควรนำเงินเหล่านี้ไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย เช่นกัน

 

บริษัท epayments เชื่อถือได้มั้ย ?

epayments.com ก่อตั้งในปี 2011   ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ  มีนโยบายเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการชำระเงินหรือถอนเงินสด ที่มีความปลอดภัยสูง คล้ายกับบริษัท PayPal ตอนนี้ ePayments ได้เติบโตขึ้นเป็นบริษัท eWallet รายใหญ่ และกำลังดำเนินการอยู่ในกว่า 100 ประเทศ มีสมาชิกกว่า 643,445 ทั่วโลก  โดยขยายการให้บริการไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ มากมาย เช่น ตลาดออนไลน์ และรวมถึงวงการ Crypto Currency อีกด้วย

 

epayments ดีไหม?  มี ข้อดี ข้อเสีย อย่างไร?

ข้อดี epayments

ข้อเสีย epayments

1.       ถอนเงินสด จากบิทคอยน์ ผ่าน ATM ได้ทั่วโลก

2.       วงเงินการถอนสูงกว่าบัตรเดบิตอื่นๆ

3.       ขั้นตอนการใช้งาน ฝาก – โอน – ถอน ไม่ยุ่งยาก

4.       รองรับหลายเหรียญ เช่น BTC, ETH, LTC,BTG, BTH

5.       บริษัทน่าเชื่อถือ

1.       ขั้นตอนการเตรียมสมัครอาจดูยุ่งยาก

2.       มีค่าจัดส่งบัตรถึงบ้าน ในราคาประมาณ 5.95 USD

3.       ใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ กว่าจะได้รับบัตรเดบิต

4.       มีค่าธรรมเนียมในการถอนเงินสด ประมาณ 220 บาท/ครั้ง

5.       มี limit ในการถอน ไม่เกิน 3000 USD/วัน

 

สำหรับขั้นตอนใน การสมัคร epayments นั้นก็ค่อนข้างมีหลายขั้นตอนพอสมควร แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้ยากอะไร ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

แต่ก่อนที่จะเริ่ม เราต้องเตรียมความพร้อมกันก่อน สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ ดังนี้

  • Email Account ของเราเอง
  • เบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้งานรับ sms ได้
  • File บัตรประชาชน หรือ passport
  • ใบจ่ายค่าไฟฟ้า หรือ ค่าโทรศัพท์ หรือ ใบจ่ายค่าบัตรเครดิต หรือ statement ของธนาคาร ที่มีชื่อเรา และที่อยู่เป็นภาษาอังกฤษ

ขั้นตอนใน การสมัคร epayments 

1.สมัครสมาชิก ePayments

1.1 คลิกที่ Create e-Wallet

1.2 ลงทะเบียน ใช้ Email หรือ เบอร์โทรศัพท์ แล้วคลิก ลงทะเบียน

1.3 สร้าง Password และยืนยัน Password

1.4 กรอกข้อมูลส่วนตัว ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด เพศ เบอร์โทร (ต้องกรอก 66 ก่อน ตามด้วยเบอร์ไทย)

1.5 ระบบจะส่ง Code ไปให้ทางโทรศัพท์ ให้เรานำ Code นี้มากรอก แล้วกด Save

1.6 เมื่อกรอกถูกต้อง ระบบจะให้เราตั้ง รหัสผ่าน 6 หลัก สำหรับใช้จ่ายในระบบคล้ายกับ รหัส ATM ของเรา


2.สั่งซื้อบัตรเดบิต epayments แล้วให้ส่งบัตรเดบิตมาที่บ้าน

2.1 เมื่อกรอกเรียบร้อยแล้ว และกด Save เรียบร้อยแล้ว ระบบจะพาเรามาที่หน้าหลักและขึ้น หน้า ที่ให้เราทำการสั่งบัตร epayments ก็ให้เรากด Order ปุ่มสีเขียวๆ เพื่อทำรายการสั่งบัตรเดบิต ส่งมาที่บ้าน

2.2 กรอกข้อมูลสำรอง ในกรณีที่เราไม่ได้ SMS

2.3 กรอกที่อยู่ เพื่อจัดส่งบัตรมาที่บ้าน  เราก็สามารถเลือกประเภทการจัดส่ง จะมีตัวเลือก 2 แบบคือ

  • Express Delivery : เป็นการส่งแบบด่วน โดย DHL 2-3 วันถึงบ้านเลย แต่วิธีนี้ก็จะมีค้าใช้จ่ายสูง
  • Royal Mail เป็นการส่งฟรี อาจจะใช้เวลา 2-4 สัปดาห์

2.4 ตรวจสอบข้อมูลการจัดส่งให้แน่ใจ แล้วทำการจ่ายเงินค่าธรรมเนียมบัตร ในราคา $ 5.95 เลือกจ่ายแบบ Visa หรือ Paypal 


3.ส่งเอกสาร เพื่อยืนยันตัวตน

3.1 ยืนยันบัญชี คลิก Verify your account.

3.2 เลือกเอกสารที่ใช้ยืนยัน เช่น Passport , ใบขับขี่ หรือ บัตรประชาชน และ เอกสารที่มีชื่อเรา และที่อยู่เป็นภาษาอังกฤษ

ยกตัวอย่าง เอกสาร Proof of Address

  • เช่น ใบจ่ายค่าไฟฟ้า หรือ ค่าโทรศัพท์ หรือ ใบจ่ายค่าบัตรเครดิต หรือ statement ของธนาคาร ที่มีชื่อเรา และที่อยู่เป็นภาษาอังกฤษ

3.3 อัพโหลด เอกสารทั้งด้านหน้า และ ด้านหลัง

3.4 เมื่อส่งเอกสารแล้ว รออนุมัติ ภายใน 5 วัน


4.เมื่อได้บัตร ให้ Activated และทดลองโอนเหรียญ BTC / ETH / LTC/ BTG/ BTH

4.1 เมื่อได้รับบัตรเดบิต epayments แล้ว ให้ทำการ Activated บัตร 

4.2 Log in เข้ามาใน epayments.com แล้ว คลิก Activated เพื่อเปิดใช้บัตร 

4.3 ทดลองโอน ETH เข้ามาในระบบ โอนมาทีละน้อยๆก่อน เพื่อทดสอบระบบ

  • คลิกที่ Receive
  • กรอกจำนวนเงินที่ต้องการโอนมา  เรามีเวลา โอนภายใน 30 นาทีก่อนที่เรทราคาจะเปลี่ยนแปลง

4.4 เมื่อโอน ETH มาในระบบแล้ว ให้โอน USD เข้ามาในบัตรเดบิต คราวนี้เราก็สามารถถอนเงินสด ได้ที่ตู้ ATM หรือ นำไปใช้ชำระสินค้าหรือบริการ ได้เหมือนบัตรเดบิตทั่วไป


5.ใช้งานบัตร กดเงินสด หรือ ใช้ชำระสินค้า/บริการต่างๆ ได้ 


ทดลองกดเงินจากตู้ ATM จากธนาคารไทยพาณิชย์ 

 

ผู้เขียนลองทำการถอนเงินจากตู้ ATM ธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 1500 บาท มีค่าธรรมเนียม 220 บาท อัตราแลกเปลี่ยนวันนั้น เท่ากับ 29.50 ต่อ 1 ดอลล่าร์ ได้เรทที่ค่อนข้างน้อย แต่โดยภาพรวมถือว่า โอเค สะดวก รวดเร็วดี

** ใครที่ลืม PIN Code 4 หลัก ให้เข้าไปเช็คได้ที่ Menu Card and Account  > PIN services > ดูหมายเลข PIN   


ข้อแนะนำการใช้ ePayments บัตรเดบิตบิทคอยน์

1.ทำการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงการให้บริการของบัตร ePayments อยู่เป็นระยะๆ เพื่อความปลอดภัย

2.ควรมีความรู้เรื่องระบบเหรียญ Crypto Currency เพื่อให้เราสามารถ ฝาก – ถอน – โอนเงินได้ไม่ยากนัก

3.อย่าลืมดูเรื่องค่าธรรมเนียมในการถอนด้วยเสมอ หากเราถอนเงินน้อยๆ เช่นวันละ 100 – 3,000 บาท อาจทำให้เสียค่าธรรมเนียมมากกว่า ถอนทีละมากๆ

4.ทำการถอนเงินสดจากตู้ ATM ที่รับรอง MasterCard เท่านั้น (อย่าลืม สังเกตดูให้ดีดี)

บทสรุป

บัตรเดบิตบิทคอยน์ ePayments MasterCard เป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่ง ในการถอนเงินสดหรือใช้รูดซื้อสินค้าต่างได้อย่างง่ายดาย  สามารถกดเงินสดที่ไหนก็ได้ทั่วโลก แนะนำ นักลงทุนเหรียญบิทคอยน์ หรือเหรียญ Crypto Currency อื่นๆ ควรมีติดตัวไว้ เพราะจะช่วยอำนวยความสะดวกของเราได้อย่างมาก เวลาต้องการใช้เงินสด ที่สำคัญ ePayments ยังมี Application บนมือถือ Android ให้ดาวโหลดมาใช้งานได้อีกด้วย

สำหรับนักลงทุนดิจิตอลที่สนใจ บัตรกดเงินสด บิทคอยน์ สามารถสมัครลงทะเบียนได้ที่นี่ => ePayments.com

**สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เข้าใจ  หรือมีคำถามอื่นๆ สามารถสอบถาม หรือ ติดต่อเราได้ที่ https://www.facebook.com/GoalBitcoin/

 



Bitcoin มาจากไหนกัน? ทำไมมันถึงมีมูลค่า

Bitcoin คือ สกุลเงินดิจิตอลสกุลแรกของโลก เป็นสกุลเงินที่ไม่มีธนาคารหรือองค์กรใดควบคุม ค่าเงินของบิทคอยน์มีการเพิ่มขึ้น และการเข้าถึงเงินสกุลนี้ก็ทำได้ง่ายมากขึ้น เพียงแต่ว่าต้องเข้าใจระบบและศึกษาให้ดีเท่านั้นเอง

ถ้าเราลองย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 บิทคอยน์นั้นยังมูลค่าไม่สูงมาก คือ ไม่ถึง  $0.01 ~ หรือ 34 สตางค์ เท่านั้นเอง เพราะว่ายังไม่มีคนให้ความสนใจ และไม่ค่อยเข้าใจในระบบของเงินสกุลนี้มากนัก แต่พอตอนนี้ลองมาเทียบกันดู ในวันนี้ 18 กุมภาพันธ์ 2018 มูลค่าของบิทคอยน์นั้นมากกว่า 300,000 บาทแล้ว

อ้างอิงจาก Coinmarketcap.com

 

 

มูลค่าของบิทคอยน์นั้นเจริญเติบโตอย่างมาก ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับมูลค่าของบิทคอยน์ โดยปกติแล้ว สกุลเงินต่างๆ นั้นจะมีการใช้ทองคำ เงินสกุลอื่น เครดิตของประเทศ หรือพันธบัตรรัฐบาล ค้ำประกันมูลค่า แต่ในเมื่อบิทคอย์ไม่มีสิ่งเหล่านี้ค้ำประกันอยู่ แล้วจะมีค่าได้อย่างไร ?  แล้วบิทคอยน์คือสกุลเงินดิจิตอล แล้วเราจะได้มายังไงล่ะ

 

บิทคอยน์ได้มายังไง?

ขอยกตัวอย่างเลยแล้วกัน

สมมติว่า นาย ก ซื้อจอบขุดดินอันหนึ่ง เพื่อมาขุดดินหลังบ้าน แต่ไปเจอหินชนิดหนึ่ง แล้วก็นำหินนี้ไปขายในตลาด แลกกับค่าแรงที่เขาขุด แต่ว่าตอนแรกไม่ค่อยมีคนเห็นประโยชน์เท่าไร คิดว่าน่าจะไปตกแต่งบ้านมากกว่า ราคาของหินชนิดนี้จึงถูกมาก  แต่ต่อมาวันหนึ่ง คนพึ่งรู้ว่าหินนี้คือทองคำ ซึ่งในตัวหินนั้นอาจไม่มีมูลค่าเลย (no intrinsic value) แต่พอเริ่มมีการใช้ทองคำเป็นตัวกลางแทนมูลค่า (store of value) เช่นแรงงานและมูลค่าสินค้าต่างๆ ก็ทำให้ทองนั้นมีมูลค่าขึ้นมา

บิทคอย์ก็ไม่ต่างกันเลย แค่เราเปลี่ยนจากจอบขุด มาเป็น คอมพิวเตอร์

จากแรงงานมาเป็น การประมวลผลและตรวจสอบ transaction ของบิทคอยน์  และ ค่าอาหาร คือ ค่าไฟ

เรามาดูตัวอย่าง อธิบายการขุดบิทคอยน์ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

สรุปว่า ถ้าไม่ขุดก็จะไม่ได้บิทคอยน์ ซึ่งต่างกับเงินในเกมหรือแอปที่เจ้าของเพิ่มเองได้



 

การใช้งานทำให้บิทคอยน์เกิดมีมูลค่า

ในช่วงแรกที่ผ่านมา ยังไม่มีใครรู้ว่าจะนำบิทคอยน์ไปใช้ได้อย่างไร ทำให้มีมูลค่าต่ำ ไม่ต่างอะไรกับคนที่มองทองคำเป็นก้อนหินหรอก แต่ปัจจุบันนี้เรานำบิทคอยน์มาใช้ได้หลายงานมาก เช่น

  • เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระสินค้าได้ เช่น ประเทศญี่ปุน
  • เป็นตัวกลางการโอนเงินต่างประเทศโดยที่ไม่ต้องผ่านหรือใช้เรทธนาคาร
  • ใช้เป็น store of value เสมือนทองคำ
  • มีไว้เพื่อซื้อขายหรือเก็งกำไร

แถมยังเป็นทรัพยากรที่มีจำนวนจำกัดด้วย สามารถขุดได้ไม่เกิน 21 ล้านบิทคอยน์

*แต่อย่าเข้าใจผิดว่าบิทคอยน์มีมูลค่า เพราะมันมีจำนวนจำกัด

และการที่บิทคอยน์นั้นเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด ทำให้บิทคอยน์เป็น store of value ที่เชื่อถือได้ แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อไม่มีคนใช้งานบิทคอยน์แล้ว ยังไงก็กลายเป็นสิ่งไม่มีค่าอยู่ดี  อย่างเช่น น้ำมันบนโลกนั้นมีจำกัดแต่ถ้าวันหนึ่งเราหันไปใช้พลังงานทดแทนอย่างอื่นหมด ก็คงไม่มีคนต้องการน้ำมันอีก

 

Bitcoin เป็นเหรียญที่สามารถใช้ซื้อ เหรียญทางเลือกอื่นๆ (Altcoin) ได้

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ Bitcoin ได้ถูกใช้เสมือนประตูไปสู่ Altcoin  พูดง่ายๆว่า ตอนนี้เรามีเหรียญใหม่ๆที่เรียกได้ว่าแทบจะล้นตลาด มีมากถึง 1545 เหรียญ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก  https://coinmarketcap.com/ แต่เราก็สามารถไปซื้อเหรียญต่างๆ ตามสถานที่แลกเปลี่ยน พวก Binance หรือ Bittrex  เหมือนว่า เราซื้อบิทคอยน์เพื่อไปแลกเป็นเหรียญอื่นๆ หรือถ้าเหรียญ altcoin ทั้งหลายร่วง คนส่วนใหญ่มักจะแลกกลับมาถือเป็นบิทคอยน์ จึงทำให้บิทคอยน์นั้นมีมูลค่าขึ้นมา

4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต ประจำปี 2563

วันนี้เราได้รวบรวม 4 เว็บเทรดบิทคอยน์ในไทย ที่ได้รับการรับรอง จาก ก.ล.ต โดยเว็บเทรดทั้ง 4 นี้ สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามบทเฉพาะกาลตามคำสั่งของ ก.ล.ต. หรือ ได้รับ License แล้วนั่นเอง

อ่านต่อที่นี่


3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีการซื้อขายสูงสุดปี 2020

ใครที่อยากลองเทรดในตลาดต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง บทความนี้ เรามาดูกันว่า 3 เว็บเทรด Bitcoin ต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2020 มีเจ้าไหนบ้าง ไปดูกัน

อ่านต่อที่นี่

 

มูลค่าและความต้องการของตลาด

เราอาจจะพูดถึงธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยน้อย อสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ทุนสูง เป็นหนี้ระยะยาว  หุ้นถึงจุดอิ่มตัว แล้วเราจะนำเงินไปลงทุนที่ไหนดี ทำให้หลายคนหันมาลงทุนบิทคอยน์ เพราะว่ามีสถิตที่ให้ผลตอบแทนมาก และไม่เหมือนที่มีในท้องตลาด ตราบใดที่ยังมี Demand มี“คนเชื่อว่ามันมีมูลค่า”และพร้อมที่จะซื้อ ไม่ว่าจะไปใช้จ่าย หรือใช้ลงทุนก็จะยังมีคนที่แย่งกันลงทุนขุดบิทคอยน์

ผลลัพธ์คือ บิทคอยน์ก็จะมีมูลค่าต่อไป



 

Credit: https://coinman.co/2017/06/28/bitcoin-value/